วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

181: การตรวจพลังในวัตถุมงคล

การตรวจพลังในวัตถุมงคล
โดยหมอพล (พ. ธรรมรังสี)
การตรวจพลังในวัตถุมงคลนั้น .....เรียกว่า.... วิชชา"กายหัตถรังสี" หรือ วิชชา "เดินจิต".....ต้องรู้หลักในการกำหนดจิต ....ส่งจิต....และอธิษฐานจิต..... ด้วยอุปจารสมาธิ......หากชำนาญเป็น "วสีภาวะ" จะสามารถรู้ได้อย่างรวดเร็วและละเอียดลึกซึ้ง.....สามารถรู้ถึงพิธีกรรมการปลุกเสกหรือการอธิษฐานจิตของครูบาอาจารย์ได้........สามารถเห็นรัศมีที่อยู่ภายในวัตถุนั้นๆได้ .......ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง พระบูชา หรือเครื่องรางของขลังใดๆ....... และจะเห็น "รูปนิมิต" ที่สถิตอยู่ภายใน หากปลุกเสกด้วย การตั้งองค์พระ หรือ การตั้งธาตุ เรียกรูปเรียกนามตามสายวิชชา...... อาจครอบด้วย "นวหรคุณ" หรือ วิมานแก้วพระพุทธเจ้า ตาข่ายเพชร เกราะเพชร มงกุฎเพชร จักรแก้วพระพุทธเจ้า ฯลฯ ดังนี้เป็นต้น .....แต่หากเพียงแค่ทำการอธิษฐานจิตด้วยบารมีธรรม

....... ก็จะเห็นแต่เพียง รังสีสว่างสีขาวนวล อันเป็นผลรวมของรังสีทั้งเจ็ดคลื่นความถี่...... บ้างก็มีรังสีต่างๆกันไป.......แต่จะไม่มีรูปนิมิตใดๆ ปรากฏ ......ยกเว้นจะมีการเสกทั้งสองรูปแบบ...จึงจะปรากฏทั้งรูปนิมิตและรังสี....การตรวจพลังในองค์พระอย่างง่ายๆ......ก็คือ.... ใช้นิ้วชี้ นิ้วโป้ง และนิ้วกลาง(มือซ้ายจะดีกว่ามือขวา เพราะสัมพันธ์กับสมองซีกขวา อันเป็นด้านของพลังจิต) ......จับสัมผัสองค์พระเบาๆ......กำหนดจิตให้นิ่ง.......แล้วสังเกตถึงกระแสพลังที่แล่นเข้ามาในตัว หากมีกระแสรุนแรง จนขนลุกชันทั้งตัว หรือท่วมศรีษะ แสดงว่ามีพลังสูงมาก.....กระแสที่เยือกเย็นคือพลังแห่งเมตตา...กระแสที่คลุมทั้งตัวคือคุ้มครอง... กระแสที่ทำให้ผิวหนังตึงไปทั้งตัว จนตัวอาจถึงชา คือ คงกระพันจนถึง ชาตรี......กระแสที่แผ่ออกไปรอบๆตัวคือแคล้วคลาดปัดตลอด...... (ถ้าจะฝึกจับครั้งแรก ต้องเป็นพระที่มีพลังแรงๆจึงจะสังเกตรู้ได้ง่ายกว่า) ... ซึ่งวิธีนี้หากเราเดินพลังย้อนเข้ามาในตัว....จะสามารถกักเก็บพลังในองค์พระได้....เป็นการปรับกระแสคลื่นความถี่หรือพลังรัศมีกายทิพย์ของเราให้สว่างขึ้นชั่วขณะหนึ่ง.....หลวงปู่ดู่ กล่าวว่าเป็นการเรียกพระเข้าตัว......โดยที่พลังในองค์พระหรือวัตถุมงคลนั้นๆ ไม่ได้หายไป

..... เป็นส่วนหนึ่งของ "วิชชาเดินจิต" หรือ จะเรียกว่าเป็น... "วิชชามหาเวทย์ดูดดาว" ...ก็ได้.......ถ้าจะให้พลังอยู่คงทนยาวนาน ต้องมีคาถากำกับหรือมีสมาธิจิตที่มั่นคง ช่วยให้ "จักระ" ภายในตัวเปิดออก... หากพลังสะสมได้ถึงระดับ จะเกิด"ตาที่สาม" ขึ้นมาโดยอัตโนมัติ.......และสามารถดึงเอาพลังงานในอากาศและจักรวาลเข้ามาในตัวได้ตลอดเวลา.....(พลังปราณ หรือ พลังจักรวาล หรือพลังธาตุบริสุทธิ์...หรือแม้กระทั่ง....."พลังงานแห่งคุณพระรัตนตรัย"....) และยังมีวิธีตรวจสอบอานุภาพในองค์ พระอีกหลายวิธี ....เช่น.... การตรวจด้วยกายทวาร... (เอามือกำพระ แล้วบริกรรมคาถาอัญเชิญมือจะยกลอยขึ้นเอง แล้วมีท่าต่างๆปรากฏ) .....การวัดคืบ.... (นำพระมาวางบนมือ แล้วบริกรรมคาถา ทำการวัดคืบ ถ้าพระนั้นดีจะวัดไม่ถึงความยาวของมือตามปกติ ดูเหมือนมือนั้นยืดออกได้) ...ผมเองเมื่อก่อนนั้น ....ชอบศึกษาและสะสมพระเครื่องมาก.....มาตอนนี้ลดละปล่อยวางไปมากแล้วจะมีเฉพาะของครูบาอาจารย์ที่เคารพนับถือมากๆ เท่านั้น.......และที่เขียนมาทั้งหมดนี้.......ไม่ประสงค์จะให้ทุกท่านเกิดความงมงายหรือความยึดติดในวัตถุแต่ประการใด.....เพียงแต่ต้องการชี้แจงแสดงเหตุและผลในศาสตร์เหล่านี้เท่านั้น

....ส่วน....... "คุณพระรัตนตรัย" นั้น...ถือเป็นสิ่งสูงสุด....... "ธรรมะ" นั้น...ถือเป็นเรื่องที่ควรนำมาใส่ใจมากที่สุด......และ การศึกษาพระเครื่องที่ถูกต้อง..... ก็คือ..... ต้องศึกษาทั้งในส่วนของ"รูปธรรม" ....(ทั้งเนื้อหามวลสาร ความเก่า จุดตำหนิและพิมพ์ทรง)...... และศึกษาในส่วนของ "นามธรรม"ดังที่กล่าวมาแล้วนั้นแล...

อ่านจบ.........กรุณาลบ "อคติ"ออกให้หมดนะครับ.........และหวังว่า....คงได้รับประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ......ส่วนตัวผมเองนั้น ศึกษาพระเครื่องมาตั้งแต่อายุ 12.... (เริ่มปฏิบัติด้วย) .....อ่านหนังสือพระเครื่องเล่มเก่าๆ มาแทบทุกเล่ม ... (หนังสือใหม่ๆ มีแต่โฆษณาซะเยอะ) .......ฉะนั้น จึงรู้จักแต่พระเก่าๆ .....พระใหม่ๆ ไม่ค่อยจะรู้.......ถ้าตำราและพระเครื่องรุ่นเก่ามีมาตรฐานเดียวกัน.....ผมก็มั่นใจว่า.....ผมพอจะดูได้บ้างครับ โดยที่ไม่ต้องจับพลัง...

หากยังมีข้อสงสัยประการใด ......ยินดีสนทนาด้วยไมตรีจิต 087-411-7018 .หมอพล ...... เชียงใหม่.....(พ.ธรรมรังสี)......

ปล. อนึ่ง ท่านที่จะฝึก... กรุณาระวังอุปาทานให้มากๆ ด้วย... ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้...

หมายเหตุ : ผมฝึกตามแนวสายวิชชาพรหมศาสตร์...ผนวกกับวิชชามโนมยิทธิของวัดท่าซุง ...กับ ...วิชชาตั้งองค์พระของหลวงปู่ดู่-หลวงปู่ทวด... และวิชชาครอบจักรวาลของหลวงปู่ใหญ่......... สายอื่นผมไม่ทราบจริง ๆ ครับ......... ต้องกราบขออภัยด้วย...




เพิ่มเติม : พลังพระเครื่อง โดย: มารน้อย 

พระเครื่อง เครื่องรางของขลังกับคนไทยเป็นของคู่กันที่แยกไม่ออก แต่ละบ้านมีวัตถุมงคลอยู่บ้านละมากๆ ทั้งเก่าใหม่ พระเครื่องในประเทศไทยพบมาตั้งแต่ยุคทวาราวดี, ลพบุรี,  เชียงแสน, สุโขทัย, อยุธยา จนปัจจุบัน การสร้างของครูบาอาจารย์ที่สร้าง มีทั้งสร้างบรรจุไว้ตามเจดีย์ ตามวัด ตามถ้ำ เพื่อสืบต่อพระศาสนา บ้างก็สร้างไว้แจกให้ผู้คนที่นับถือนำไปเคารพบูชาหรือนำไปติดตัว เพื่อปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากภัยอันตราย, เมตตามหานิยม, แคล้วคลาด, อยู่ยงคงกระพัน, มหาอุด, ป้องกันภูตผีปีศาจ ฯลฯ
รูปแบบการสร้าง ส่วนใหญ่จะสร้างรูปองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นองค์ที่ชาวพุทธเคารพบูชาสูงสุด ส่วนรูปแบบอื่นก็มี แต่จะมีน้อยกว่า
การปลุกเสก พระเครื่องแต่โบราณที่นิยมมากก็คือ การสวดอัญเชิญบารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แผ่บารมีลงสถิตที่พระเครื่องที่สร้างขึ้น บารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่สถิตอยู่ที่พระเครื่อง จะมีบารมีทางคุ้มครอง แคล้วคลาด เมตตา ป้องกันภัยจากภูตผีปีศาจที่จะมาทำร้าย รังสีจากองค์พระที่แผ่ออกมา เรียกรังสีออร่าจะเป็นสีเหลือง จับพลังด้วยมือจะพบพลังเย็น พลังที่พบจะมีมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับบารมีธรรมของผู้สร้าง ความบริสุทธิ์ใจของผู้สร้าง เป็นพลังสำคัญ
ถ้าการปลุกเสกมีจุดประสงค์เพื่อใช้ป้องกันตัวเวลาออกสงคราม เน้นให้เกิดความคงกระพัน ผู้สร้างจะใช้อาคมและพลังจิตในการปลุกเสก โบราณผู้ปลุกเสกก็มักเป็นผู้ทรงศีล ใช้เวลาสงัดและฤกษ์ยามที่เหมาะสมปลุกเสกเดี่ยวอยู่เพียงผู้เดียว ถ้าพลังจิตมีพลังมาก วัตถุมงคลที่ปลุกเสกจะถูกพลังจิตของผู้ปลุกเสกอัดเข้าไป จนวัตถุมงคลนั้นเคลื่อนไหว กระดุกกระดิกหรือกระโดดจากภาชนะที่ใส่อยู่ นั้นเรียกว่าปลุกเสกได้เข้าขั้นใช้ได้เลย ถ้าปลุกเสกแต่วัตถุมงคลนั้นยังนิ่งเฉย แสดงว่าพลังจิตและอาคมที่ประจุลงไปยังน้อยไปใช้ไปป้องกันตัวไม่ได้ ปัจจุบันที่ได้ข่าว พระที่ปลุกเสกได้อย่างนี้มีหลวงพ่อสุพจน์ วัดศรีทรงธรรม อ.บรรพตพิสัย นครสวรรค์ ส่วนองค์อื่นเชื่อว่ามีที่ท่านทำได้แต่ผมไม่รู้ข่าว
ส่วนที่เราเห็นพิธีปลุกเสกแบบพิธีการใหญ่โต นิมนต์เกจิอาจารย์มานั่งปรุกตามกำหนดเวลาพร้อมๆกัน มีพระสวดดังลั่นอยู่เห็นแล้วส่ายหน้าเลยจะไปเหลือสมาธิจิตในการปลุกสักเท่าไร  ถ้าวัดใดสร้างและต้องไปอาศัยบารมีจากครูบาอาจารย์วัดอื่นๆ ช่วยในการปลุกเสก ขอให้นำวัตถุมงคลนั้นไปถวายให้ท่านทำการปลุกเสกเองที่วัดท่าน โดยนัดแนะเวลาอีก 3 วัน 7 วันหรือ 1 ไตรมาสค่อยมาขอรับคืน ครูบาอาจารย์ท่านจะได้หาเวลาสงัดที่กำลังจิตท่านดีผ่องใสว่างจากภารกิจ ทำการปลุกเสกวัตถุมงคล จะได้พลังที่รุนแรงเต็มที่

พระเนื้อดินแต่โบราณที่ผมมีอยู่เป็นของกรุต่างๆ ตั้งแต่ยุคทวาราวดี ลำพูนลงมาจนถึงอยุธยา  ผมพบสิ่งวิเศษสุดที่ครูบาอาจารย์ทำเป็นมวลสารใส่ไว้ในองค์พระ คือ เหล็กไหลที่แข็งตัวแล้วจำพวกโครตเหล็กไหล,  เหล็กไหลตาน้ำ,  เหล็กไหลเพลิง,  เหล็กไหลบารมี  นำมาบดเป็นผงสีดำๆ  ผสมกับดินที่มาสร้างพระทำให้พระเครื่องที่สร้างมีบารมีทางอยู่ยงคงกระพัน  แคล้วคลาด  มหาอุด  ด้วยบารมีของเหล็กไหลที่ใส่อยู่  ถ้าท่านมีพระกรุเก่าๆ อยู่ทดลองดูได้โดยอาศัยแม่เหล็กที่มีกำลังแรง  แหย่เข้าไปใกล้พระองค์พระที่วางอยู่บนที่เรียบนูนเช่น  กระจกเลนซ์นูนของแว่นขยาย องค์พระจะถูกแม่เหล็กดูดจนเคลื่อนที่ วิธีนี้พอจะพิศูจน์เองกันได้ทุกคน แต่ระวังนะครับปัจจุบันก็มีพระทำปลอมขึ้นมาแล้วใส่ผงเหล็กหรือฝังเศษเหล็กไหลไว้ภายใน  เอาแม่เหล็กดูดดูวิ่งเข้าใส่เลย
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมพบเป็นสิ่งที่สูงมากนำมาบรรจุในองค์พระหรือติดไว้ที่ผิวองค์พระคือ พระธาตุครับ ถ้าเป็นของจริงพลังบารมีของพระองค์นั้นจะสูงสุดๆ เลย แต่ผู้ที่จะใส่ควรจะมีศีลมีธรรม ท่านจึงจะปกป้องคุ้มครอง พบมีของปลอมอีก โดยวิธีนำทรายที่มีลักษณะคล้ายพระธาตุมาผสมใส่เนื้อดิน สร้างเป็นรูปพระขึ้นมา เอาไว้หลอกคนที่ชอบพระธาตุ

พลังในพระเครื่อง มีอยู่จริงๆ  บางท่านที่มีสมาธิจิตดีๆ สามารถสัมผัสกับพลังในองค์พระได้ มีทั้งการปลุกแบบเต้นไปทั้งตัว แสดงว่าผู้ปลุกจิตยังอ่อน ปลุกแล้วไม่รู้เรื่องว่ามีอะไรบ้างภายในองค์พระ บางท่านจับองค์พระไว้ทีมือพอจิตสัมผัสองค์พระ มือจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆ  เช่นกระตุกไปข้างหน้า หมายถึง คงกระพัน กระตุกวิ่งเข้าหาอกนั่นคือพลังเมตตามหานิยม กระตุกมือลงข้างล่างเป็นมหาอุด มือเคลื่อนที่วิ่งวนอยู่ข้างหน้าคือ แคล้วคลาด  ถ้ามือยกขึ้นเหนือศีรษะคือ คุ้มครองป้องกัน  วิธีปลุกดูพุทธคุณโดยดูจากมือที่เคลื่อนที่นี้  เราจะรู้รายละเอียดในองค์พระว่ามีพลังอะไรอยู่บ้าง บางองค์มี 1 อย่าง บางองค์ลงไว้หลายอย่าง และพลังแรงของมือที่สะบัดไป ถ้าแรงมากแปลว่าพลังในองค์พระมาก  ผมพบวิธีนี้ตอนผมเรียนอยู่ที่ ร.ร.ช่างกลไทยสุริยะ ประมาณปี 2517 ที่บางบัว อ.บางเขน กรุงเทพฯ  ผู้ที่ใช้วิธีนี้ชื่อ อาจารย์ทองคำ ที่จริงแกเป็นภารโรงอยู่ในโรงเรียนที่ผมเรียนอยู่นั่นแหละ  ผมขนพระมาให้อาจารย์ทองคำปลุกดูเป็นร้อยๆ องค์ หาพระที่มีพลังสูงๆ ใส่  ส่วนมากพระที่มีพลังสูงๆ มักพบเป็นพระกรุแต่โบราณ  ส่วนพระรุ่นใหม่ที่มีพลังสูงๆ พบน้อยก็คงมีมาก แต่ผมอาจจะไม่มีพระเครื่ององค์นั้นๆ อยู่ จึงไม่สามารถจะรู้ทุกองค์ได้ ผมเองก็เรียนรู้วิธีการปลุกพระจากอาจารย์ทองคำ ท่านก็สอนให้แต่ใช่ว่าจะรู้วิธีทำแล้วจะทำได้ทุกคน  มันต้องขึ้นอยู่กับสมาธิจิตด้วย  วิธีการและคาถามีดังนี้'

นะโม 3 จบ       
เอหิพุทธา มามานุภาเวนะ
เอหิธัมมา มามานุภาเวนะ
เอหิสังฆา มามานุภาเวนะ
เสร็จแล้วว่าวนที่คำว่า  มะอะอุ อุอะมะ

ส่วนองค์พระที่เราจับให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ กับนิ้วชี้จับองค์พระไว้  อย่าเกร็งมือ พุ่งจิตไปจับความรู้สึกตรงนิ้วที่จับองค์พระไว้  อย่าเพ่งไปใส่นะครับ ให้กำหนดจิตเปิดรับพลังจากปลายนิ้วที่จับองค์พระ ให้ไหลเข้าทางแขนมาหาตัวเรา  เมื่อจิตเรานิ่งจนละเอียดเพียงพอ  จิตจะรับสัมผัสพลัง ผ่านทางนิ้วมาแขนเข้ามาที่ตัวเรา  พลังจะวิ่งเหมือนไฟดูดนั่นแหละ  ส่วนมือจะสะบัดไปในทิศทางตามพลังแต่ละอย่างที่ลงไว้ในองค์พระ  ท่านผู้อ่านท่านใดจะลองนำไปทดลองดูบ้างก็ได้  ส่วนตัวผมทดลองมาหลายครั้งแล้ว ตอบแบบภาคภูมิใจเลย  ผมยังทำไม่ได้ครับ!  ส่วนตัวอาจารย์ทองคำ ท่านตรวจพุทธคุณได้เร็วมาก  จิตท่านเร็วมาก  เอามือจับองค์พระกำหนดจิตแล้วมือสะบัดไปทันทีที่ไม่ได้ใช้พระคาถาเลย  เมื่ออาจารย์ทองคำทำเป็นตอนแรกก็ต้องใช้คาถานี่แหละ  แต่พอชำนาญเข้า  จิตไวมากไม่ได้ใช้ จับปุ๊บได้ปั๊บ  พระ 100 องค์เช็คชั่วโมงเดียว เรียบ
อีกวิธีที่ท่านอาจารย์ทองคำใช้ คือ กำหนดจิตมององค์พระ ดูรังสีที่พุ่งออกจากองค์พระ  องค์ไหนมีรัศมีสว่างแสงสีแจ่มชัด  ก็คือมองดูรังสีออร่าในองค์พระนั่นเอง  เรียกว่ามองพระที่วางปนกันทั้งกล่อง  ยื่นมือไปหยิบพระองค์ที่มีพลังแรงได้เลย  วิธีเช็คพลังพระเครื่องที่ผมพบที่อาจารย์ทองคำ เป็นวิธีแรกที่ผมรูจัก ถ้าท่านผู้อ่าน  อ่านแล้วอยากนำพระไปตรวจสอบ ก็ขอแสดงความเสียใจด้วยเพราะอาจารย์ทองคำ  ท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2538  ผมได้ไปงานฌาปณกิจศพท่านที่วัดบางบัวมาแล้ว  หลังจากที่พวกผมติดต่อวิญญาณได้ ก็ได้ติดตามหาอาจารย์ทองคำ  พบอยู่ที่ชั้นจาตุมหาราชิกา เป็นอันว่าหมดห่วงไป

ปัจจุบันที่ผมพบผู้ที่สามารถใช้วิธีตรวจสอบพลังในองค์พระได้ที่ชัยนาท  โดยดูจากการสะบัดมือ เคลื่อนที่ไปในทิศทางต่างๆ แล้วบอกรายละเอียดพลังที่อยู่ในองค์พระได้ละเอียด  เป็นข้าราชการของกรมชลประทาน ปัจจุบันที่เขียนอยู่นี้ปี 2551 ท่านผู้นี้อายุเกือบ 60 ปีแล้ว  ทำงานอยู่ที่ อ.วัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท นามสกุลบุญประสิทธิ์  ผมบอกให้แค่นี้นะครับ  ผมเองก็อาศัยท่านผู้นี้ในการตรวจสอบรายละเอียดในองค์พระเป็นครั้งคราว
ส่วนพวกผมที่สำเร็จวิชามโนมยิทธิ  เองทดสอบลองตรวจพลังในองค์พระดูทำได้คือมีพลังวิ่งจากองค์พระพุ่งเข้าแขนผ่านอกไปยังมืออีกข้างหนึ่งพลังมากหรือน้อย  ดูจากพลังนั้นวิ่งข้ามไปได้ไกลถึงส่วนไหนของแขน  และแยกแยะได้เพียง  พลังเย็นคือพุทธคน  พลังร้อนคืออาคม
อีกวิธีหนึ่งคือ  กำหนดดูรังสีออร่าจากองค์พระว่ามีสีอะไร  และสว่างแค่ไหน  ก็สามารถ  รู้พลังในองค์พระได้
อีกวิธีคือกำหนดจิต  ถาม  จากครูบาอาจารย์ที่ท่านสร้างไว้เลยสะดวกดีเพราะสามารถติดต่อกับโลกวิญญาณได้

ขอยกตัวอย่างพระที่ผมเคยตรวจสอบแล้วพบว่าพลังแรงในด้านต่างๆ  ดังนี้
1.  สมเด็จวัดระฆัง   กรุงวังหน้าขององค์สมเด็จโตที่เขานิยมกันมาก  พลังที่พบเป็นรังสีขาว  มีพลังเย็น  ผู้ที่อยากได้ไว้บูชาถ้าเช่าหาในราคาแพงๆ มาขึ้นคอผมเสียดายเงินจังเลย  ความจริงพระกรุวัดพระแก้วยุครัชกาลที่  4  ราคาเช่าบูชา  แค่หลักสิบหลักร้อย หลักพัน  ยังมีอยู่ตามแผงพระใน  กทม. เยอะแยะครับ  อันนี้แล้วแต่ใครจะดูเป็น  นั่นมีปัญหาอีกไม่เป็นไรดูไม่เป็นเปลี่ยนวิธีใหม่  ผมเคยตรวจสอบพลังพระใหม่ๆ ที่สร้างเป็นรูปสมเด็จ  เช่นวัดเกศไชโยอ่างทอง  ที่วัดระฆัง  หรือที่วัดอื่นๆ สร้างโดยอาราธนาบารมีขององค์สมเด็จโตท่านมาแผ่บารมี  ผมยืนยันจากการตรวจสอบมาหลายครั้งว่าพลังบารมีในองค์พระเท่ากันกับสมเด็จวัดระฆังองค์เป็นล้านนั่นแหละครับ  มีหลายๆวัดสร้างเป็นรูปองค์สมเด็จโตเป็นเหรียญบ้างเป็นเนื้อผมบ้าง  พุทธคุณเหมือนกันกับสมเด็จวัดระฆังเลย  ใครชอบของแพงของถูกก็เลือกเอาเองครับคุณภาพเท่ากัน
2.  พระหลวงปู่ทวด  ออกวัดไหนก็ช่างผมตรวจสอบกี่องค์พุทธคุณเหมือนกันหมดคือ  เป็นพลังเน้นแคล้วคลาด  เด่นมาก  เหมาะกับผู้ใช้รถควรมีติดตัวหรือหน้ารถไว้  เก่าใหม่ไม่ใช่ตัวแยกความศักดิ์สิทธิ์  ถ้าหลวงปู่ทวดได้รับอาราธนา  มาแผ่บารมีลงในรูปของท่าน  ของใหม่ๆ ก็มีพลังเท่ากับของวัดช้างไห้ปี  2497  นั่นแหละมีพลังออร่าสีขาว  เป็นพลังพระโพธิสัตว์  ความแรงเท่ากันกับสมเด็จวัดระฆัง
3.  หลวงปู่เทพโลกอุดร  จะใหม่เก่าพลังออร่าสีทองอร่ามเลยดีครบทุกด้าน  มีพลังสูงมาก  ผมมีทั้งของเก่าดั้งเดิมและที่มีศิษย์สร้างขึ้นใหม่หลายองค์  พุทธคุณเท่ากันหมดทั้งเก่าใหม่  พลังที่ลงไว้แรงแต่หย่อนกว่าของหลวงปู่โตและหลวงปู่ทวด  ผมมีเพื่อนที่สามารถถอดจิตไปเรียนปฏิบัติจิตกับหลวงปู่เทพโลกอุดร  ผมฝากกราบเรียนถามว่าทำไมหลวงปู่ลงไว้เพียงเท่านี้  หลวงปู่ตอบว่าที่ลงให้เพียงเท่านี้รู้ว่าเพียงพอต่อการปกป้องคุ้มครองแล้ว  ถ้าใครจะให้มีพลังในองค์พระสูงกว่านี้ต้องปฏิบัติธรรมสื่อจิตกับท่านเมื่อนั้นพลังในองค์พระจะสูงขึ้นเอง  คืนท่านเน้นให้ผู้มีพระของท่าน  หันมาปฏิบัติธรรม
4.  พระกรุถ้ำเสือ  แถบ จ.สุพรรณบุรี  มีออกมาเยอะมีทั้งพิมพ์ที่นิยมและไม่นิยม  สร้างโดยฤาษีก็มีพระก็มีบรรจุไว้ตามถ้ำตามวัด  สร้างมาหลายยุคหลายสมัย  มีพลังออร่าสีแดงเป็นหลักคือเน้นคงกระพัน  เหมาะสำหรับใช้ป้องกันตัวเวลาออกรบยามมีสงคราม  ที่ผมมีอยู่มีทั้งพิมพ์นิยมและไม่นิยม  เช่าหามาในราคาหลักสิบหลักร้อย  ตรวจสอบดูพุทธคุณ มากทุกพิมพ์เลย  ตกลงดีทั้งของถูกของแพง  ภายในองค์พระทุกองค์มีเหล็กไหลประเภทที่แข็งตัวแล้วตามธรรมชาติบรรจุอยู่เป็นเม็ดเล็กๆ จากการบดก็มี  ยัดไว้เป็นก้อนนูนเลยก็มี  แถมบางองค์บรรจุพระธาตุไว้ภายในองค์อีก  ตรวจสอบพบเพราะดูจากแสงออร่า  มีทั้งสีแดง  และขาว  คือออร่าของพระธาตุ  ปนอยู่ด้วยกัน  พระขุนแผนกรุบ้านกร่างก็ใช่มีทั้งเหล็กไหลและพระธาตุบรรจุอยู่ทำให้พลังสูงมากแต่ความนิยมทำให้ราคาแพงอย่าไปสนใจหาเลย  เลือกเอาพระถ้ำเสือเก่าๆที่นอกพิมพ์นิยมจะถูกกว่าเยอะ
5.  พระกรุสุโขทัย  ยุคพญาลิไทช่วงปี พ.ศ.1900  ทั้งที่สุโขทัย  กำแพงเพชร  พญาลิไท  ท่านสร้างพระบรรจุไว้ตามเจดีย์ตามวัด  มากมายจริงๆ ที่พบมากเป็นพระเนื้อดิน  ภายในเนื้อดินพบผงดำๆ ปนอยู่ตรวจสอบพลังดูจึงรู้ว่านั่นคือเหล็กไหลประเภทหนึ่งถูกบดปนอยู่  เห็นมั๊ยครับเหล็กไหลหาง่ายจังเลยพระกรุยุคสุโขทัย  เน้นการลงพุทธคุณมาก  ออร่าจะออกไปทางสีเหลืองปนส้ม  คือ  พลังแคล้วคลาด  เมตตา  คงกระพัน  คุ้มครอง  พลังพอๆกับพระของหลวงปู่ศุข  วัดปากคลองมะขามเฒ่า  อย่างพระซุ้มกอ  เม็ดขนุน  ลีลาถ้ำหีบ  แพงทั้งนั้นผมมีพระซุ้มกอพิมพ์กลางอยู่องค์หนึ่ง  นำมาทดสอบพลังพุทธคุณก็มีพลังเท่าๆ กับพระกรุสุโขทัยที่ถูกขุดพบโดยชาวบ้านภายหลังและนำมาจำหน่ายสามารถพบเห็นตามแผงพระได้  ตกลงถูกแพงไม่เกี่ยวกับพลังในองค์พระ  มันคนละเรื่อง  ใครชอบถูกแพงก็เลือกเอาเอง
6.  หลวงปู่ศุข  หลวงพ่อเงิน  หลวงพ่อเดิม  ทั้ง  3  ท่านนี้คือครูบาอาจารย์ที่ทางอภิญญาฤทธิ์จริงๆ  ท่านเป็นศิษย์ของหลวงปู่เทพโลกอุดรทั้งหมด  รู้สึกว่าจะธุดงค์ไปเรียนกันที่ถ้ำวัวแดงในป่า  ชัยภูมิ  พลังอภิญญาฤทธิ์ของทั้ง  3  ท่านที่ลงในวัตถุมงคลใกล้เคียงกันมีพลังสูงมาก  ของรุ่นเก่าที่ท่านสร้างไว้ราคาไม่ต้องห่วง  แพงครับ  ถ้ามีอยู่ก็ดีครับโชคดี  ท่านลงกันครบทุกทางหมดแต่เน้นมากคือ  คงกระพัน  มหาอุด  นำหน้าเลยแถมยังล้อมอาคมไว้กันคัดวิชาออกอีกต่างหาก  ผมเองเก็บพระหลวงปู่ศุข  กรุวัดดอนตาลไว้เป็นร้อยเลย  เซียนเขาตีปลอมครับที่ชัยนาทนี่เขาใช่แว่นส่องปล่อยเขาไป  ผมใช้ตรวจพุทธคุณ  ตรวจออร่าจ้าออกมาสีเขียว  พลังอภิญญาฤทธิ์เต็มๆเลย  แถมไปกราบเรียนถามหลวงปู่ศุขอีกต่างหาก  ใครว่าปลอมช่าง  ผมพิสูจน์ตามวิธีของผมเรียบร้อยแล้ว  หลวงปู่ทำไว้ครั้งยังมีชีวิตอยู่จริงๆ  ผมนำออกไปถวายวัดช่วยในงานสร้างเจดีย์ที่อุทัยธานี  และเจดีย์ศรีชัยพาผึ้ง  ลักษณะเนื้อทองเหลือง  หล่อติดกัน  3  องค์  ทีนี้คนทั่วไปจะหาที่ไหนไม่ต้องคิดมาก  วัดใดสร้างรูปหลวงปู่ทั้งสามองค์นี้ที่สร้างใหม่นะครับ  ถ้าผ่านพิธีการปลุกเสกผู้สร้างก็ต้องอารธนาเชิญหลวงปู่เจ้าของรูปนั้นมาปลุกเสกด้วยตรวจสอบดูได้เลย  พุทธคุณเท่าของเก่าจริงๆ  เลือกเอาเองนะครับถูกกับแพง
7.  หลวงพ่อฤาษีวัดท่าซุง  อยู่ในคอผมตลอดเลยครับทั้งพระคำข้าวพระหางหมาก  พระคำข้าวเน้นพุทธคุณ  เมตตา  แคล้วคลาด  คุ้มครองคงกระพัน  คือดีครบทุกทางนั่นแหละ  พระหางหมากจะเน้นทางบู๊มากหน่อยแต่ดีครบทุกทางจริงๆ  หลวงพ่อฤาษีท่านเคยกล่าวไว้ว่าท่านไม่ได้ปลุกเสกเองท่านอาราธนาอัญเชิญ  บารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์อีกทั้งเทพมหาศักดิ์  ผู้ทรงฤทธิ์มาแผ่บารมาลงในองค์พระ  ดีกว่าหลวงพ่อทำเองอีก   100  ปีก็ไม่เท่ารังสีออร่าสีเหลือง  ชักจำไม่แม่นเช็คมานานแล้วเป็นพลัง  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์  คือ  พุทธคุณนั่นเอง  ที่วัดตรงศาลารับแขกยังให้เช่าบูชาครับ  ดีทุกรุ่นครับเลือกเอาเอง  พลังเท่ากันทั้งนั้น:
8.  พระรอดฝังพระธาตุข้าว  ของครูบาชัยวงษา  พระบาทห้วยต้ม  อ.ลี้  จ.ลำพูน บารมีพระธาตุข้าวของพระพุทธเจ้า  สูงมากๆ  กำลังสร้างเจดีย์อยู่ที่วัดยังมีให้บูชาอยู่  องค์ละ  100  บาท  เท่านั้น  พลังออร่าของพระธาตุข้าวเป็นสีขาวคลุมหมดเลย  ทั้งคุ้มครองแคล้วคลาด  เมตตา  ไปเอามาบูชาให้ได้นะครับของดีราคาถูก  สั่งทางไปรษณีย์ก็ได้ที่วัด
9.  พระผสมเหล็กไหลของวัดถ้ำแฝด  อ.ท่าม่วง  กาญจนบุรี  ของวัดนี้ใช้เหล็กไหลชนิดต่างๆ  นำมาสร้างพระจริงๆ  ผมไปที่ตู้วัตถุมงคลของวัดพลังจากเหล็กไหลในบริเวณนั้นบีบศีรษะปวดหัวเลย  พลังแรงจริงๆ เน้นทางคงกระพันมหาอุด  ดีจริงครับ  ที่วัดยังมีอยู่เยอะ  ใครชอบเชิญ
10.  เหล็กไหลวัดพุทไธสวรรค์  จ.อยุธยา  หลวงพ่อหวลปัจจุบันชรามากไปตัดเหล็กไหล  ไม่ไหวแล้ว  ของที่ยังเหลืออยู่ที่วัด  พลังแรงมากมีทั้งสีปีกแมลงทับ  สีเงินยวง  เป็นเม็ดข้าวสาร  เป็นกำไล  เป็นองค์พระ  อย่างถูกสุดขนาดเม็ดข้าวสาร  หรือกำไล  ราคาค่าเช่าบูชา  500  บาท  อย่างได้ของดีไปเอาเก็บไว้เสีย  หมดแล้วหมดเลย
11.  พระลำพูน  สร้างมานานครับเจ้าแม่จามเทวี  มีองค์ฤาษีเป็นผู้สร้างทุกพิมพ์ทุกองค์  ใส่เหล็กไหลครับ  พลังแรงเหลือเฟือ  ทั้งแคล้วคลาดคงกระพัน  แถมบางองค์มีพระธาตุปนอยู่เนื้อพระ  พิมพ์ที่นิยมไม่ต้องไปหาหรอกแพงครับ  ที่เราขุดพบภายหลังนำมาวางตามแผงพระผมพบบ่อยพลังก็เท่ากับองค์เป็นแสนเป็นล้าน  แต่ผมเช่ามาราคาหลังสิบหลักร้อยเอง
12.  หลวงพ่อปานวัดบางนมโค  จ.อยุธยา  พิมพ์ขี่สัตว์ต่างๆ  นิยมกันมากแต่ดีจริงๆครับ  ทั้งคุ้มครองแคล้วคลาด  คงกระพัน  เป็นพลังบารมีพุทธคุณทราบว่าท่านใช้วิชาในตำราของพระร่วงเจ้าแต่ครั้งสุโขทัย  นำมาปลุกเสกพระรุ่นหลังที่สร้างไว้ให้ประชาชนเช่าบูชาที่วัด  หลวงปู่ปานท่านอยู่ที่ชิ้นดุสิต  สวรรค์ชั้นที่ 4  ที่อยู่ของพระโพธิสัตว์  ท่านเมตตาลงมาปลุกเสกรูปพระของท่าน  พลังก็เท่ากับพระที่ท่านสร้างครั้งยังมีชีวิต
13.  หลวงพ่อจักร  วัดเขาถ้ำรังไก่  อ.วัดสิงห์  จ.ชัยนาท  อดีตทหารผ่านศึกเวียดนาม  ลาว  ฆ่าคนในสงครามมาเยอะ  สละชีวิตทางโลกบวชล้างบาปวิชาอาคมร่ำเรียนมามาก  ถนัดในการใช้ฤทธิ์จากวิชาอาคม  วัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสก  เน้นด้านคงกระพันมหาอุด  หันคา  ชัยนาทไม่ไกลจากเขาถ้ำรังไก่  ยังมาช่วยปลุกเสกด้วย  ดังนั้นวัตถุมงคลที่วัดนี้เน้นด้านบู๊จริง  ยิ่งถ้าพระปิดตารุ่นแรกๆ ท่านทำสมัยปี  2525  เหลืออยู่ไม่มากผสมเหล็กไหลทั้งนั้นเลยแต่ท่านเรียกเลือดผา  ท่านได้จากถ้ำสมัยธุดงค์จากอุ้มผางผ่านป่าทุ่งใหญ่นเรศวรมาโผล่ที่  อ.บ่อพลอย  กาญจนบุรี  ตอนผมไปเช่าบูชาคุยกับหลวงปู่ ท่านพูดตรงๆ  โผงผางแบบคนจริง  บอกถ้าไม่มั่นใจมึงเอาปืนมาลองยิงดูได้เลย  ถ้ายิงออกไม่ต้องเอาไป  ใครอยากได้รีบนะครับ อายุท่านมากแล้วสุขภาพไม่ดีด้วย
14.  หลวงพ่อสุพจน์  วัดศรีทรงธรรม  อ.บรรพตพิสัย  นครสวรรค์  ทางจากนครสวรรค์ไปพิษณุโลก  ออกจากนครสวรรค์ไปประมาณ  40 กม.  จะเห็นป้ายบึงปลาทูอยู่ซ้ายมือ  เลี้ยวรถเข้าไปประมาณ  5  กม.  ถึงวัดท่านเป็นพระที่เชื่อมั่นในวิชาอาคมสูง  พลังจิตแรงมาก  พระหรือวัตถุมงคลของท่าน  ปลุกเสกจนกระดุกกระดิกได้  แรงจริงครับท่านทำให้ลองได้เลยยิงดูเลยยิ่งออกไม่ต้องใส่ให้หนักคอ  อายุท่านประมาณ  55  ปี  พลังกำลังแรง  ใครอยากได้เชิญที่วัด
15.  วัดดอนหวาย  นครปฐมมีตลาดนัดวัดดอนหวาย  ผมไปเที่ยวปล่อยให้ภรรยากับลูกเดินซื้อของ  ส่วนผมเดินเข้าไปในศาลาที่จัดชุดสังฆทานเอาไว้ให้คนทำบุญ  มีตู้วัตถุมงคล  ยืนมองดูเอ๊ะ!  นั่นพระสมเด็จเนื้อหล่อด้วยเรซิ่นใสๆ  ภายในองค์พระนั่นพระธาตุทั้งนั้นเลย  ผมเช่าบูชามา  2  องค์พอตรวจสอบด้วยจิตดู  พลังจากพระธาตุสูงมากๆ เลยทราบว่าพระธาตุนี้ทางวัดได้มากจากถ้ำแถว  จ.นครศรีธรรมราช  ใครอยากได้พระบรรจุอรหันต์ธาตุของแท้จริงๆ  เชิญที่วัด
16.  ขอเป็นตัวอย่างสุดท้ายนะครับ  พระของวัดถ้ำรัตนคีรี  (เขากวางทอง)  จ.อุทัยธานี  มีถ้ำซึ่งภายในพบพระสิวลีธาตุเต็มไปหมด  ทางวัดนำมาบรรจุลงในพระเครื่อง  ผมผ่านไปลองเช่าบูชามา  ตรวจทางจิตเป็นพระสิวลีธาตุจริงๆ ครับ พลังสูงมาก
ของดีในเมืองไทยยังมีอีกมาก  แต่ผู้ที่รู้คือผู้ที่สามารถตรวจสอบพลังได้จึงจะรู้ว่าของดีอยู่ที่ไหนบ้าง  ผมเลยเขียนให้เป็นตัวอย่างพอสมควร  ที่ผมยังไม่รู้มีอีกเยอะครับ  ผมไม่ใช่เซียนพระตำหนิรูปพรรณดูไม่เป็น  เพียงแต่รู้จักพิมพ์ทรงบ้าง  ไปเดินดูตามแผงพระก็มีจุดประสงค์หาของดี  หาเทวดาที่สถิตตามองค์พระเอามาช่วยงานบุญที่บ้าน
ขอแยกแยะเรื่องออร่าหน่อย  ออร่าเป็นรังสีที่เปล่งออกจากวัตถุมงคลตามพลังที่บรรจุไว้ในวัตถุมงคลตามพลังที่บรรจุไว้ในวัตถุมงคล  เริ่มเลยคือผมอ่านหนังสือชื่อ  “พระเครื่อง”  ท่านมีจิตสัมผัสที่เก่งมาก  เห็นแสงจากองค์พระและแยกแยะคุณสมบัติของสีออกมา  ดังนี้-

สีแดง        เป็นพลังด้านคงกระพันชาตรี
สีส้ม        เป็นพลังแคล้วคลาด
สีม่วง        เป็นพุทธบารมี
สีเขียว         เป็นพลังจากญาณสมาธิ  อภิญญา  เมตตา
สีเหลือง          เป็นพลังพุทธคุณ  พระพุทธ  พระธรรม  พระสงฆ์
สีขาว        เป็นพลังพระโพธิ์สัตว์
สีฟ้า        เป็นพลังส่งเสริมการค้าขาย

นอกจากนี้  “คนเห็นผี”  ยังเขียนถึงพลังออร่าในตัวคนอีกว่ามีสีต่างๆ  คือการดูจิตคนว่าสีอะไรบ่งบอกถึงว่าเป็นคนอย่างไรได้อีก  เมื่ออ่านแล้วของพิสูจน์หน่อย  พวกผมใช้สมาธิจิตจับที่องค์พระก็พบสีแสงต่างๆ จริง ส่วนความหมายของสีผมเองก็ต้องดูจากหนังสือของ  “คนเห็นผี”  พอทดลองดูจิตคนก็เห็นแสงสีจริงๆ เออ!  แปลกดีครับ
อีกอย่างหนึ่งที่แปลงมากคือ  ท่านผู้เขียนหนังสือลงในนิตยสารโลกทิพย์โลกลี้ลับ  ชื่อ  อ.ธีรศักดิ์  สามารถตรวจพลังพระเครื่องได้ เชิญที่ชมรมโลกทิพย์  แถวดินแดงช่วงวันเสาร์อาทิตย์  ท่านเขียนว่ารูปพระเครื่องในหนังสือนิตยสาร  ที่ถ่ายจากรูปพระเครื่องของแท้ๆ มีพลังในรูปเท่ากับพระเครื่องจริงสามารถทำมาห้อยคอบูชาติดตัวได้  แปลกมั๊ยครับต้องทดลองผมมีแสตมป์ชุดเบญจภาคี  ทั้งเนื้อดินเนื้อชินอยู่ลองให้พวกผมเอานิ้วแตะดูพลัง  โอ้โฮ!  ไม่น่าเชื่อพลังเท่ากับจับองค์จริงเลย  แปลกมากถ้าเป็นอย่างนี้ใครที่ไม่ยึดติดกับรูปร่างของจริง  ไปซื้อหนังสือนิตยสารที่รูปพระเยอะๆ มาเลยเลือกเอาเลยชอบองค์ไหน  ตัดเลี่ยมขึ้นคอเลย  พุทธคุณเท่ากันจริงๆ ครับบางครั้งผมซื้อหนังสือนิตยสารพระเครื่องมาดูเล่น  นึกอยากรู้ว่าพระที่ลงโฆษณาในหนังสือองค์ไหนดีจริง  ก็ให้พวกผมเอานิ้วแตะดูจากรูปในหนังสือเลย  เท่านี้ผมก็รู้แล้วครับ
พลังในพระเครื่องที่แรงสุดๆ ที่ผมพบ
-  พลังด้านพุทธบารมี  ก็คือ  พระบรมสารีริกธาตุ  พระอรหันต์ธาตุ พระธาตุข้าวของพระพุทธเข้า
-  พลังด้านคงกระพัน  ก็คือ  เหล็กไหล  ครับ
ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมพบโดยบังเอิญ  คือผมเดินดูแผงพระเล่นๆ ไปพบขวดแก้วขนาดขวดรักยมบรรจุวัสดุใสมีสีต่างๆ เป็นก้อนเล็กๆ คล้ายพระธาตุผมเลยลองเก็บไปตรวจสอบดู  ปรากฏว่าพลังพุทธบารมีสูงมากๆ เกือบเท่าพระธาตุจนผมเข้าใจผิดว่าคือพระธาตุ  ผมเลยเหมาเอาไปหมดเลยประมาณ  50  ขวด  คิดว่าจะนำพระธาตุในขวดนี้ไป  บรรจุเจดีย์  ศรีชัยผาผึ้ง  อ.บ้านเขว้า  ชัยภูมิ  พอเอาทั้งหมดกลับไปบ้าน  ลองเอาแว่นขยายส่งพิจารณาดู  ผมชักสงสัยไม่ใช่พระธาตุแน่ๆ  คล้ายกับเป็นเรซิ่นหรือวัสดุทางวิทยาศาสตร์ชนิดใดชนิดหนึ่ง  ยิ่งชนิดที่เป็นเม็ดกลมเล็ก ดูออกชัดเลยว่าย้อมสี  เอ!  เราโดนหลอกเสียแล้วกระมังหมดไปหลายตังค์เลย  ลองตรวจสอบพลังแสงออร่าก็พบพลังแสงสีขาวใส่เกือบเท่าพระธาตุ  ตรวจสอบพลังดูก็เกือบแยกไม่ออกคืออ่อนกว่าพระธาตุนิดเดียวเอง  อะไรกันนี่ ลองสืบหาดูโดยขอติดต่อกับเทวดาที่มากับวัตถุมงคลนี้จึงทราบว่า  ของสิ่งนี้มาจากประเทศลาว  วัดอยู่แถวริมแม่น้ำโขง  โดยข้ามฝั่งที่จังหวัดหนองคาย  ทางวัดได้จัดการปลุกเสกโดยพระอรหันต์โดยสมมุติให้ของสิ่งนี้  เป็น  “สิ่งเทียมพระธาตุ”  ใช้เคารพบูชาแทนพระธาตุ  อึ้งเลยผมอย่างนี้ก็มีด้วย  แสดงว่าพระอรหันต์ฝั่งลาวที่ผมไม่ทราบนามนี้  คงจะเป็นพระอรหันต์ที่มีบุญบารมีและฤทธิ์บารมีสูงมากๆ ใครพบตามแผนพระเช่าไปบูชาเถิดดีจริงๆ  ลักษณะขวดขนาดขวดรักยม  มีจุดยางสีสดใสได้ข่าวว่าตามแผงพระใน กทม. ก็มีเยอะ คือมีคนไปเช่ามาจากวัดที่ประเทศลาว  นำมาไว้ตามแผงพระในประเทศไทย

เขียนบอกพระองค์นี้ว่าดีจริงๆ  ขอทุกท่านโปรดเข้าใจ  ต่อให้ท่านคล้องพระที่ว่าดีที่สุดแล้ว  อย่านึกว่าท่านใส่เสื้อเกราะใครทำอะไรไม่ได้ผิดครับ  อิทธิฤทธิ์  บุญฤทธิ์  ในพระเครื่องแพ้กรรมฤทธิ์ครับถ้ากฎแห่งกรรม  อกุศลกรรมมาถึงตัวท่านพระทั้งหมดที่เต็มคอช่วยไม่ได้เลยครับ  เวลาเราคล้องพระหรือวัตถุมงคลชนิดใดก็ตาม  รังสีออร่าจากสิ่งที่เราคล้องอยู่จะแผ่ไปรอบๆ ตัวเราจริง  ปกป้องภัยอันตรายและเป็นคลื่นกระแสเย็นเมตตาได้จริง  พลังเหล่านี้จะปกป้องคุ้มครองคนที่มีศีลมีธรรม  ส่วนคนที่ไร้ศีลธรรมประพฤติผิดทำรองคลองธรรม  ไม่มีพุทธคุณธรรมคุณสังฆคุณใดๆ ปกป้องท่านหรอก  หนักคอเปล่า
เราจะพบคนที่ไม่ยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าจะยึดถือวัตถุอาคมทางไสยศาสตร์เป็นที่พึ่งของชีวิต  รูปวัตถุที่เขาพกพาบูชาจะมีรูปร่างแปลกๆ เยอะแยะ มีทั้งรูปสัตว์  อวัยวะคน  เทพเจ้าในวรรณคดี  ของเหล่านี้ศักดิ์สิทธิ์นะครับอย่าดูถูกกัน  บทจะเหนียวๆ จริงๆ แต่ต้องยึดมั่นถือเคร่งตามที่ครูบาอาจารย์สั่ง  เนื่องจากเป็นอาคมจากไสยศาสตร์บวกกับพลังจิตของผู้สร้างและครูบาอาจารย์ของเขาที่ถูกฝึกด้วยมิจฉาสมาธิจนใช้พลังจิตได้  แต่ผู้ใช้วัตถุอาคมเหล่านี้  ซึ่งเป็นพลังร้อน  จะสังเกตราศีจะดูไม่ผ่องใส  จิตใจจะร้อนลุ่ม  ไม่เยือกเย็นเหมือนพลังพุทธคุณ  ถ้ายึดมั่นถือมั่นกับไสยศาสตร์ภายใต้อิทธิฤทธิ์ของครูบาอาจารย์  ระวังถ้าสิ้นชีวิตไปดวงวิญญาณอาจจะต้องตกเป็นบริวารของผู้มีฤทธิ์ด้านอาคมได้  คือข้าปกป้องคุ้มครองเจ้า  เจ้าก็ต้องมาเป็นบริวารเข้า  ตอบแทนกันไงครับ

สรุปแล้วเราจะใส่อะไรติดตัวดีนะ  ก็บอกได้ว่าเราควรใช้พระเครื่องที่มีบารมีพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์  สถิตอยู่  เป็นอันดับแรก  รองลงมาก็เป็นบารมีพระโพธิสัตว์  รองลงมาก็คือพลังจากวัตถุที่มีความศักดิ์สิทธิโดยธรรมชาติเช่น  เหล็กไหล  ชนิดต่างๆ  รองลงมาก็คือวัตถุอาคมที่ครูบาอาจารย์สร้างขึ้น
แล้วผู้เขียนใส่พระอะไรละ  บอกให้ก็ได้ผมไม่ได้มีพระดังๆ ที่เขานิยมกันใส่หรอก  ถึงมีก็ไม่ใช่รุ่นที่เขานิยม  จะเรียงลำดับให้ดู

1.        สมเด็จ กรุวัดพระแก้ว  มีบารมีสมเด็จโตปลุกเสก  ในองค์บรรจุเหล็กไหลและพระธาตุ  (มีคนเขาให้มาจาก  กทม.
2.        พระหลวงปู่ทวดเนื้อว่าน  พิมพ์กลางปี  2505  (ของพ่อ)
3.        พระกรุวัดมหาธาตุ  สรรคบุรี  เน้นคงกระพันมหาอุดสร้างสมัยอยุธยาตอนต้น
4.        หลวงปู่เทพโลกอุดร  จากถ้ำวัวแดง  พิมพ์อธิษฐานฤทธิ์
5.        หลวงปู่ศุข  พิมพ์สี่เหลี่ยมเนื้อทองเหลืองหลังยันต์ใหญ่กรุวัดดอนตาล
6.        พระรอดฝังพระธาตุข้าวพระพุทธเจ้าของวัดพระบาทห้วยต้ม  อ.ลี้  จ.ลำพูน
7.        เหล็กไหลชีปะขาว  ปีกแมลงทับของวัดพุทไธสวรรค์  อยุธยา
8.        เหล็กไหลบารมี  วัดเขาแร่กายสิทธิ์  อ.โคกสำโรง  ลพบุรี
9.        รูปพ่อวิษณุเทพ  และเจ้าพ่อศาลพระกาฬ  (ภาคหนึ่งขององค์นารายณ์)
10.      พระคำข้าว  กับพระหางหมาก  วัดท่าซุง  อุทัยธานี
11.      องค์ท้าว  เวสสุวรรณ

เพียบเลยพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำคอ  แต่ละองค์ไม่ใหญ่ครับองค์เล็กๆ ทำไมใส่เยอะจังหรือจะไปรบหรือไงใช่ครับผมต้องใส่ไว้ทั้งพุทธคุณอาคม  และอิทธิฤทธิ์ เพราะทุกวันนี้ผมต้องเกี่ยวข้องกับวิญญาณทุกวันเลยไปช่วยเขา  อาจจะพบนักเลงโตผู้มีฤทธิ์ในโลกวิญญาณ อาจจะพบผู้ทรงอาคมที่มัดบังคับวิญญาณ  ทำให้ต้องมีหลายอย่างไว้ป้องกันตัว  แต่วิธีที่ช่วยได้มากกว่าพระเครื่องและสิ่งศักดิ์ที่ใส่อยู่คือ พยายามประคองศิล 5 ไว้ให้ดีที่สุด ปฏิบัติภาวนาเป็นประจำ อุทิศบุญให้นายเวรที่มาถึงตัวทุกวันอุทิศบุญให้ทุกวิญญาณที่รักษาตัว และที่อยู่ในบ้านทุกวัน ผมแปลกหน่อยคือ ไม่ค่อยสวดมนต์ต่างจากชาวพุทธทั้งหลาย เพราะเสียงสวดมนต์ไม่ว่าในใจหรือออกเสียง จะมีผลร้ายกับวิญญาณทั้งหลายที่ยังลำบาก เขาเดือดร้อน และคำสวดทั้งหลายก็คือ คำสรรเสริญ พุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ และเป็นคำสอนของชาวพุทธเจ้า ที่ชาวพุทธเราท่องจำสวดต่อๆกันมา ถ้าเราสวดทุกวันเข้าใจความหมาย และปฏิบัติตามคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เยี่ยมมากแต่ผมไม่เข้าใจภาษาบาลีเลย สวดก็พอได้มั่งแต่รู้สึกตัวเหมือนเราสวดอ้อนวอนทำการสักการะเคารพ แต่เราไม่รู้เรื่องในคำสวดนั้นเลย สู้เรานำคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาปฏิบัติเท่าที่เราทำได้ ผลเลยเลือกทางปฏิบัติแทนการสวดมนต์ ส่วนใครชอบสวด สวดแล้วสบายใจก็ไม่ว่ากันชอบใครชอบมันแต่ขอบอกว่าบุญที่ได้จากการสวดนั้นน้อยมากเทียบกับการปฏิบัติ ยกเว้นใช้คำสวดนั้นเป็นองค์ภาวนา เพื่อให้จิตสงบอันนี้บุญใหญ่ครับ
เราคล้องพระเรื่องรางของขลังอะไร โปรดทราบวัตถุมงคลหลายๆอย่างมีวิญญาณติดตามมากับวัตถุมงคลนั้น ถูกสิ่งให้มาเฝ้ารักษาอยู่กับวัตถุมงคลนั้นๆ  เช่น เทวดา,เทพธิดา, ยักษ์,  นาค,  บางครั้งพบผีคือ สัมภะเวสีถูกมนต์ผูกบังคับให้อยู่กับวัตถุมงคลนั้น  เขาเหล่านั้นถูกส่งมาทำหน้าที่รักษาอยู่กับวัตถุมงคลนั้นเมื่อคนเรานำวัตถุมงคลนั้นมาติดตัวหรือเอาไว้ในบ้าน, ในรถ  ถ้าคนเราไม่ได้ให้บุญเขาเลยเอาแต่กราบไหว้บูชา ขอความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขาเหล่านั้นก็ไม่เต็มใจที่จะเข้ามาช่วยคนที่บูชาอยู่  ปล่อยให้พลังออร่าจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ ช่วยเอาเอง  แต่ถ้าคนเราอุทิศบุญให้ “ทุกวิญญาณที่รักษาอยู่กับสิ่งศักดิ์สิทธที่ข้ามีอยู่ทั้งหมด”  ทุกวันโอ้โฮ!  รักตายเลย พลังบุญที่เขาเหล่านั้นได้รับ  จะเป็นพลังฤทธิ์ของเขาเหล่านั้นด้วย อำนาจการปกป้องคุ้มครองจากเขาเหล่าน้น จะปกป้องคุ้มครองช่วยเหลือเราด้วยความเต็มใจจริงใจอย่างยิ่ง เรียกว่าต่างฝ่ายต่างพึ่งกัน เราอุทิศบุญให้เขาเหล่านั้น เขาก็ตอบแทนด้วยการช่วยเหลือเรา ยุติธรรมดีออก

ศาสตร์แห่งพลังการปลุกเสกอธิษฐานจิต พลังพุทธคุณสุดลึกล้ำ 

หลวงปู่คำเป็งนับเป็นพระปฏิบัติกรรมฐานที่มีความเชี่ยวชาญในกรรมฐานหลายแง่มุมและกล่าวได้ว่าท่านเก่งรอบด้าน เก่งในกรรมฐานทุกกอง ทั้งนี้เพราะท่านบำเพ็ญมาทางสายพระโพธิสัตว์ ดังนั้นจึงมีองค์ความรู้ที่เก็บสะสมมาจากแต่ละชาติอย่างมากมาย เรื่องกรรมฐานนั้นปกติถ้าอยู่ในสายสาวกภูมิ ใช้เพียงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งที่เนื่องในจริตก็สำเร็จได้ แต่หลวงปู่นั้นอยู่ในสายพระโพธิสัตว์บำเพ็ญเพียรเพื่อถึงความเป็นสัมมาสัมโพธิญาน จึงมีความรู้ความสามารถมากกว่าเป็นพิเศษ จากการศึกษากรรมฐานของท่านนั้น ท่านจะชำนาญเป็นพิเศษในการบริกรรมภาวนา ท่านว่าสมัยก่อนท่านบริกรรมภาวนาวันละ ๑๘ ชั่วโมงติดต่อกันนานหลายปี ในปัจจุบันท่านภาวนาต่อเนื่อง ๘ ชั่วโมง เพราะสภาพสังขารเริ่มไม่ไหวนอกจากความชำนาญในการบริกรรมภาวนา การเพิ่งนิมิต การเพ่งภาพเพื่อให้เกิดพลังฌานท่านก็สามารถทำได้ด้วยเช่นกัน จากการปฏิบัติสืบเนื่องติดต่อกันเป็นเวลานานท่านได้พบเคล็ดลับวิชาหลายอย่างเช่น วิชามหาอุด คงกระพัน เมตตา ที่สำคัญท่านชำนิชำนาญเป็นพิเศษคือวิชา "โยกย้ายถ่ายเทพลังงาน"

การโยกย้ายถ่ายเทพลังงานไม่ใช่วิชาใหม่ แต่คนที่ชำนาญในไสยเวทโบราณเป็นกันทุกคน แต่องค์ความรู้นี้ปัจจุบันมีคนรู้ไม่มากและไม่ค่อยมีใครใช้ ตามหลักวิชาทางโยคศาสตร์นั้น พลังงานเป็นสิ่งที่สถิตอยู่ในวัตถุ คน สัตว์ สิ่งของได้ ขณะเดียวกันพลังงานก็มีแรงผลัก แรงดูด พลังงานมีการยักย้ายถ่ายเทไปตามแรงดึงดูดต่างๆได้ มีการสลายตัวได้และกลับรวมเข้ากันใหม่ เปรียบเทียบง่ายๆกับธาตุน้ำที่สามารถไหลจากที่หนึ่งไปสู่ที่หนึ่ง และเมื่อเทน้ำไปสู่ภาชนะใด น้ำก็จะมีรูปร่างเป็นภาชนะนั้นโดยธรรมชาติ น้ำสามารถระเหยไปในอากาศแต่เมื่อสภาวะที่เหมาะสมเกิดขึ้นก็สามารถควบตัวเองกลับมาเป็นหยดน้ำเหมือนเดิม พลังงานไม่มีวันหายไปไหนแต่วนเวียนในจักรวาลนานเท่านาน

ผู้ที่เข้าถึงหลักแก่นแท้แห่งจิตแห่งพลังจักรวาลสามารถดึงพลังงานเหล่านี้ให้มาประจุภายในตัวเองและประจุในสิ่งของ ทั้งสามารถโยกย้ายถ่ายเทพลังงานไปตามความเหมาะสมได้ด้วย เรื่องพลังงานนั้นนับเป็นเรื่องลึกลับสำหรับหลวงปู่ครูบาคำเป็ง ท่านสำเร็จวิชาเกี่ยวกับพลังงานทั้งเรื่องการดึงดูดพลังงานเข้าไว้ในกาย หรือถ่ายเทสู่วัตถุต่างๆ พลังงานนี้หลวงปู่ขยายความว่าหมายถึงพลังงานจาก พระอาทิตย์ พระจันทร์ พลังงานจากทุกสรรพสิ่ง ต้นไม้ใบหญ้า ใช่หมด

แต่ที่สำคัญหลวงปู่คำเป็งเล่าว่าในโลกของเรามีพลังงานจากปราณ จากอำนาจกระแสจิตของเหล่าโยคีฤาษีหรือพระเกจิครูบาอาจารย์ที่สำเร็จทางจิตจำนวนมาก พลังงานฌานสมาบัติของท่านทั้งหลาย ไม่ได้ตายตามตัวแต่ยังคงทิ้งไว้ในโลกของเรานี่เอง พลังงานของผู้สำเร็จทั้งหลายยังคงอยู่แม้ว่าดวงจิตนั้นอาจบรรลุนิพพานไปแล้ว อันนี้เป็นคนละเรื่องกับพลังงานดังกล่าวข้างต้นคือพลังงานที่มีอุณหภูมิ มีความร้อน มีแรงดึงดูด มีศักยภาพคล้ายแม่เหล็กไฟฟ้าอยู่บนฝ่ามือเรา เมื่อดึงพลังงานนี้เข้าสู่ฝ่ามือจะรุ้สึกได้ว่าฝ่ามือเราร้อนขึ้นหนักขึ้นมีอาการสั่น อาการเย็นจัดก็ใช่ หรือเหมือนมีกระแสไฟฟ้าแม่เหล็กอยู่บนฝ่ามือเรา พลังงานโลกธาตุหรือพลังงานจักรวาลหรือหลวงปู่ท่านจะเรียกบ่อยที่สุดว่าพลังงานจากพระเป็นเจ้า พลังงานเป็นสิ่งที่ถ่ายเทลื่นไหลเคลื่อนย้ายไปตามแรงดึงดูดได้เสมอ

คนที่มีจิตเป็นสมาธิอย่างดีสามารถเชิญพลังหรือดูดพลังงานเหล่านี้เข้าสู่ตัวเองได้ เข้าสู่วัตถุต่างๆได้ด้วย พลังงานจากพระเป็นเจ้านี้หากดึงลงสู่วัตถุแล้วก็ทำให้วัตถุนั้นๆเป็นเครื่องรางของขลังที่ทรงอานุภาพ อย่างไรก็ตามหากคนที่เขามีวิชาก็สมารถที่จะสูบพลังงานนี้ออกไปได้ ดังนั้นการที่เราดูดพลังงานได้แล้ว จำเป็นต้องรู้ถึงการรักษาพลังงานนั้นให้คงอยู่และสามารถพัฒนาพลังงานนั้นไปตามลำดับด้วย


การรู้จักนำพลังงานไปใช้ให้เกิดประโยชน์ 

การถ่ายเทพลังงานนับเป็นเรื่องสำคัญ ธรรมดามนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายต่างมีการถ่ายเทพลังงานในตัวเองแลกเปลี่ยนกับพลังงานรอบกายอยู่แล้ว เช่นมนุษย์เราหายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือการกินเข้าไปแล้วถ่ายออกมา การคายความร้อนของร่างกาย ทุกกิจกรรมนั้นต่างเป็นการถ่ายเทพลังงานทั้งสิ้น

การถ่ายเทพลังงานจักรวาลนั้นเป็นสิ่งสำคัญ เพราะพลังงานเหมือกับน้ำ หากอยู่นิ่งไม่มีการถ่ายเทย่อมไม่เกิดประโยชน์และเสื่อมคุณภาพลงได้ การถ่ายเทพลังงานของหลวงปู่ท่านเป็นเรื่องอจินไตยเพราะท่านสามารถถ่ายเทพลังงานในตัวของท่านกับเทพพรหมที่มีวาสนาต่อกันมาแต่อดีตชาติ สำหรับเราๆท่านๆสามารถหัดถ่ายเทพลังงานจักรวาลกับต้นไม้หรือพระเครื่องก็ได้แต่ต้องระวังไม่เอาพระเครื่องที่มีเศษซากศพเพราะอาจโดนพลังแฝง ส่วนพระเครื่องของหลวงปู่คำเป็งนั้นดีที่สุด เพราะปลอดภัยจากพลังงานที่ไม่ดี

ตามปกติการที่เราแขวนพระที่คอก็มีการถ่ายเทพลังงานจากพระมาสู่ตัวเราอยู่แล้ว และมีการถ่ายเทพลังงานจากตัวเราไปสู่พระด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตามการนำพระมากำหนดจิตถ่ายเทพลังงานโดยตรงก็เป็นอีกแบบฝึกหัดหนึ่งที่มีประโยชน์ เพราะทำให้ผู้หัดถ่ายเทสามารถพัฒนาเป็นเกจิอาจารย์ไปโดยปริยาย หลังจากที่เราถ่ายเทพลังงานจากการเราไปสู่พระ ก็ต้องหัดกำหนดจิตดูดพลังงานของพระเข้าสู่ตัวอีกครั้ง การทำแบบนี้เรียกว่าเป็นการฟอกพลังงานด้วย เหมือนการฟอกเลือดหรือเหมือนกับการทำระบบน้ำหมุนวน ผลคือรัศมีกายเราจะสว่างมากขึ้น มีศักยภาพมากขึ้น ศักนภาพที่มากขึ้นหมายถึงแรงดึงดูดของกระแสแม่เหล็กไฟฟ้าในกายเราจะสูงขึ้น มีศักยภาพในการต้านทานโรคภัยไข้เจ็บมากขึ้น ดึงดูดสิ่งดีๆโอกาสดีๆคนดีๆเรื่องดีๆเข้ามาในชีวิตได้ง่ายขึ้นด้วย

วิชาเกี่ยวกับพลังงานนี้ที่สุดแล้วย่อมไปสู่เนื้อเดียวกันเหมือนสายน้ำทุกสายย่อมรวมลงในทะเล สำหรับพระของหลวงปู่นั้นท่านว่าการประจุพลังลงในองค์พระเมื่อเรารู้จักพลังงานของพระเป็นเจ้าอันเป็นพลังงานในธรรมชาตืแล้วต่อมาเราต้องรู้จักอัญเชิญดวงจิตดวงวิญญานของครูบาอาจารย์มาประสิทธิ ขั้นนี้เรียกว่า "วิญญานศาสตร์" เมื่อทำการเสกพระท่านก็อัญเชิญครูบาอาจารย์ที่ท่านนับถือได้แก่ พระอมิตาภะ พระกวนอิม พระมหาสถาปราบ หลวงปู่ทวด หลวงปู่โต หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อเดิม ฯลฯ ต้นสายวิชาแต่ละท่านมาประสิทธิเป็นการทำให้พลังงานในพระเครื่องแกร่งขึ้นอีกหลายเท่าตัว สุดท้ายคือการใช้ฌานสมาบัติ วิชาอาคม อำนาจแห่งการบำเพ็ญเพียรของท่านประจุลงซ้ำอีกครั้งหนึ่งเป็นอันว่าจบ


สรุปแล้วสามพลังงานที่ประจุลงสู่พระเครื่องวัตถุมงคลคือ 

๑.หลักพลังงานจักรวาลหรือพลังงานจากพระเป็นเจ้า หมายถึงพลังงานปราณที่แผ่ไปทั่วจักรวาลเป็นพลังธรรมชาติที่มีอยู่บนพื้นพิภพและฟ้าอากาศทั่วไปไม่มีที่สิ้นสุด ได้แก่พลังงานจากดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ (ธาตุรู้ที่ไม่มีวันสิ้นสุด)

๒.พลังงานจากครูบาอาจารย์ หมายถึงการเชิญครูบาอาจารย์ที่เป็นเทพ พรหมและกายทิพย์ เช่นเชิญพระแม่กวนอิม พระพรหม สมเด็จโต หลวงปู่ศุข หลวงพ่อเดิมมาเสกของให้
๓.พลังจิตภายในของท่าน คือ พลังสมาธิตั้งแต่ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ และอัปปณาสมาธิ เมื่อกำหนดสมาธิแล้วตั้งใจประจุพุ่งพลังจิตหรือแผ่พลังจิตตนไปแล้วอธิษฐานให้เป็นไปตามแต่ปรารถนา
ว่าด้วยเรื่องการเสกประจุที่ท่านสอน ท่านกล่าวไว้ดังนี้ การเสกของประจุนั้นมีหลัก ๔ อย่างคือ
๑.การสาธยาย ภาวนาพระคาถาในใจหรือท่องเบาๆประจุลงในวัตถุมงคล
๒.การภาวนาในใจแล้วสูดลมหายใจเข้าลึกจากนั้นเป่าปราณออกทางปากยาวๆใส่ตัววัตถุมงคล
๓.กลั้นหายใจภาวนา เรื่องนี้ท่านว่าเป็นเคล็ดลับ ทำไมต้องกลั้นหายใจ ท่านว่าเพราะการกลั้นหายใจนั้นเป็นเคล็ด ที่ว่าคนที่เขาทำฌานสี่เต็มกำลังลมหายใจจะขาดหาย ดังนั้นการกลั้นลมหายใจภาวนาจึงได้กำลังเทียบเคียงกับผู้ที่ทำฌานสี่ เหมือนเป็นวิธีลัด แม้ไม่ได้ตรงกันเป๊ะก็ยังใกล้เคียง
๔.การเพ่งด้วยสายตา แล้วเพ่งให้อักขระคาถาเข้าไปสู่วัตถุมงคล วิธีนี้คล้ายกสินจะบอกว่าเป็นหลักกสินก็ได้ วิธีทั้งหมดนี้หากลองนำไปปฏิบัติก็นับว่าเป็นอุบายในการทำสมาธิได้อย่างดี จะได้ไม่เบื่อในการทำสมาธิกัน แต่หากใครจะจับหลักการไหนตามจริตของแต่ละท่านก็ใช้ได้เช่นกัน

จากหนังสือ "หลวงปู่คำเป็ง ฐิตะปัญโญ : บารมีพระโพธิสัตว์ บำบัดโรค โชคลาภเพิ่มพูน" โดยทิพยจักร


เทคนิคการจับพลังพระ ตลอดจนเครื่องรางต่างๆ

แบบที่หนึ่ง เทคนิค ตรวจพลังพระเครื่อง โดย การใช้ สมาธิ โดยคุณ Kamen rider คัดมาจากเวบ palungjit.org เทคนิค ตรวจพลังพระเครื่อง โดย การใช้ สมาธิ ถ้าคุณอยากได้ อยากมี หรือ อยากหาพระเครื่องดีๆมาใส่ แต่เงินไม่ถึง หรือดูพระไม่เป็น (เหมือนผม) ลองหาพระแบบนี้ดู

1.ให้ลืมพระรุ่นดังๆ ราคาแพงๆ หายากๆ ไปให้หมด (คิดซะว่าเราบุญน้อย ก็แล้วกัน เฮ้อ..)
2.หาพระเครื่อง (หรือเครื่องรางประเภทอื่นก็ได้) ที่ถูกใจมาแทน (เผื่อไว้หลายชิ้นหน่อย)
3.ใช้มือข้างที่ถนัดจับองค์พระไว้เบาๆ ปล่อยหัวไหล่กับ แขนตามสบาย ข้อศอกตั้งฉาก ถือไว้ลอยๆ (ตอนนี้มือจะถือพระอยู่บริเวณท้อง)
4.เข้าสมาธิ ระดับอุปจารสมาธิ (ถ้าลึกกว่านี้จะใช้ไม่ได้) เพ่งไปที่องค์พระ
5.ให้สังเกตอาการดังนี้

--5.1 จะรู้สึกร้อนนิดๆ ที่มือตรง บริเวณองค์พระ
--5.2 จะมีความรู้สึกว่ามีแรงดึงหรือ ผลักออกมาจากองค์พระ ให้ปล่อยและประคองมือไปตามองค์พระ
--5.3 ทีนี้ก็มาเลือกพระใส่กันโดยดูอาการตามนี้
-----5.3.1 ถ้าองค์พระดึงมือวิ่งไปทางด้านหลัง แล้วกลับมาที่เดิมแล้วไปอีกเรื่อยๆ แปลว่า มีกำลังทางด้าน แคล้วคลาด
-----5.3.2 ถ้าองค์พระ วิ่งวนเป็นวงกลม อยู่ข้างหน้า แปลว่าเป็นพระอธิษฐาน (อยากได้อะไรก็ขอเอา)
-----5.3.3 ถ้าองค์พระวิ่งไปข้างหน้าแล้ววนเข้าหาตัว แปลว่าเป็นพระมหาลาภ
-----5.3.4 ถ้าองค์พระวิ่งไปข้างหน้าแล้ววนเข้าหาหัวใจ แปลว่าเป็นพระเมตตามหานิยม
-----5.3.5 ถ้าองค์พระวิ่งไปข้างหน้า แล้ววนเข้าหาปาก แปลว่าเป็นพระที่ลง สาริกาลิ้นทอง (ไม่รู้ว่าใช้ศัพท์ผิดหรือเปล่า???)
-----5.3.6 ถ้าองค์พระวิ่งออกไปตรงๆ แล้ววิ่งกลับมาตรงๆ เป็นพระที่ลงคงกระพันชาตรีไว้ (ผู้รู้บอกว่าให้นิมนต์ขึ้นหิ้งไปเลย แล้วเอาพระเมตตามหานิยมมาใส่ดีกว่า เพราะเป็นพระร้อน)
-----5.3.7 ถ้าองค์พระวิ่งวนขึ้นหัว แปลว่าเป็นพระที่ลงไว้ครบทุกอย่าง หรือลงไว้หลายอย่าง (เช็คยากกว่าพระที่ลงพลังไว้อย่างเดียว กว่าพระจะเริ่มเคลื่อนบางทีรอตั้งนาน)
-----5.3.8 ถ้ารู้สึกเริ่มเมื่อยแขน ให้หยุดทันที เพราะตอนนี้ถ้าคุณถืออะไรไว้ในมือ แล้วคุณอยากให้วิ่งละก็ คุณจะแยกไม่ออกแล้วว่า เป็นแรงที่คุณออกแรงผลักไปเองโดยไม่รู้ตัว หรือเป็นแรงดึงจากของในมือ 


6.ถ้าคุณไม่มีเงิน ดูพระไม่เป็น เข้าสมาธิก็ไม่ได้ ขอแนะนำให้หาพระสวยๆ ที่คุณดูแล้วรู้สึกสบายใจ มาใส่แทนแล้วเอาเวลาไปทำความดี หรือทำประโยชน์อื่นๆจะดีกว่า (จริงๆ)

หมายเหตุ นี่เป็นวิธีของมือสมัครเล่น หัดเองได้ไม่ยาก (แต่ต้องมีของให้หัดจับเยอะหน่อย จะได้เคยมือ) แถมยังเป็นการหัดเข้าสมาธิให้คล่องตัวขึ้นอีกด้วย

ถ้าคุณเห็นพวกมืออาชีพจับแล้ว คุณจะทึ่ง พวกนี้จะไปตามวัด หรือร้านขายพระเครื่อง แค่หยิบขึ้นมาในมือแป๊บเดียวก้รู้แล้วว่าของดี หรือไม่ดี (ไม่ต้องตั้งท่าอะไรเลย แถมบางคนสั่งหล่อพระเองแล้วไปตระเวณตามวัดหาพระปลุกเศกเองเลย เพราะว่าสามารถรู้ได้ว่าพระองค์ ไหนปลุกเศกพระได้ องค์ไหนทำไม่ได้) เพราะว่าพระที่ราคาไม่สูงในตลาดพระ หรือเป็นพระที่เพิ่งมีไม่นาน หรือเป็นพระที่ไม่มีใครรู้จักเอาซะเลย แต่ปลุกเศกมาดี มีกำลังสูง ก็มีอยู่

เพื่อนๆได้อ่านแล้วอย่าหมกมุ่นมากนะครับ เพราะว่า กำลังหรือความดี ในองค์พระเครื่องนั้น ยังไงๆก็เป็นของพระเครื่องอยู่วันยันค่ำ ถ้าเราศึกษาธรรมมะเอง ทำบุญเอง นั่งสมาธิเอง ทำความดีต่างๆเอง ทำแล้วได้เป็นของเราเองหมดไม่ได้เป็นของพระเครื่อง

ถึงมี พระมหาลาภ หรือพระอธิษฐาน อยู่ในมือ แต่บุญเก่าไม่มี บุญใหม่ไม่ทำ กรรมดีใดๆก็ไม่สร้าง ขี้เกียจอีกตะหาก ผมคิดว่า น่าจะเหมือนกับมีไฟฉายอย่างดีอยู่ในมือ แต่ไม่มีถ่านใส่ ถึงเวลากลางคืนเมื่อไร ชีวิตก็มืดมิดอยู่ดีแหละ

ดังนั้นหาพระดีได้แล้ว อย่าลืมทำความดีด้วยนะครับ


"การดึงพลังงานจากแร่เหล็กไหลมาใช้ในด้านอภิญญา"

ในทีนี้จะใช้เฉพาะเหล็กไหลเท่านั้น เพราะถือว่าเป็นแร่ที่มีอานุภาพมากที่สุด การดูดพลังงานจากเหล็กไหลมาใช้นี้ สามารถทำได้ง่ายๆ แค่อุปจารสมธิก็ทำได้แล้วโดยอย่างแรกผู้ที่ทำการดูดพลังจากเหล็กไหลจะต้อง ฝึกสมาธิแบบอานาปานุสสติหรือแบบเดินลมปราณมาก่อน จึงจะสามารถดูดพลังได้โดยง่ายปกติร่างกายมนุษย์จะเป็นตัวดูดพลังงานรอบตัวมา ใช้อยู่แล้ว เช่น การหายใจ แต่การฝึกสมาธิแบบอานาปานุสสติหรือแบบเดินลมปราณ จะทำให้เราสามารถดูดพลังงานทางผิวหนังมาใช้ได้ ซึ่งเป็นพลังงานที่ละเอียดกว่ามาก โดยจุดที่รับพลังงานได้ดีจะอยู่ที่ ปลายนิ้ว ฝ่ามือ ฝ่าเท้า จุดกลางหน้าผาก ณ ที่นี้จะเน้นเฉพาะ จุดรับพลังงานทางฝ่ามือ เพราะเป็นจุดที่รับและปล่อยพลังได้ง่ายที่สุด ส่วนจุดที่กลางหน้าผาก โดยส่วนมากจะเป็นจุดที่ไว้ใช้สำหรับรับข้อมูล การสื่อสาร การติดต่อต่างๆ เช่นโทรจิต การควบคุมสมองระยะไกล ซึ่งเกี่ยวข้องกับพลังจิตระดับการสั่งการ เพราะถือว่าเป็นจุดที่ใกล้สมอง เพื่อให้สมองได้ทำการแปลสัญญาณที่ได้รับมาและ เกิดการกระทำตอบกลับได้อย่างฉับพลันเป็นที่ทราบกันดีว่า พลังที่สามารถดูดซับจากรอบตัวมาได้นั้น เมื่อใช้ไปแล้วก็ต้องหมดไป จึงต้องมีการดูดซับซับเข้ามาเรื่อยๆ เพื่อสะสมไว้ใช้เหมือนกับการรองน้ำให้เต็มอยู่เสมอ เพราะถ้าหากพลังงานหมดย่อมส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย หรืออย่างหนักคือถึงขั้นเสียชีวิตได้พลังงานจากเหล็กไหลจึงเป็นพลังงานที่มี ความเสถียรมากที่สุดเพราะ ไม่มีวันหมด สามารถดูดพลังมาใช้ได้เรื่อยๆ โดยตัวเหล็กไหลเองเมื่อถูกดึงพลังงานไปก็จะสร้างพลังงานเพิ่มขึ้นเองได้ เรื่อยๆ ตรงกันข้ามคือเหล็กไหลจะมีพลังงานมากกว่าเดิม เพราะเหมือนเป็นการไปกระตุ้นให้เหล็กไหลเกิดการแตกตัว คือแตกพลังออกงานได้มากขึ้นเรื่อยๆ

การดูดพลังจากเหล็กไหลในไว้ในตัว อย่างแรกให้สังเกตลมหายใจเข้าออกก่อน จนคิดว่าเราสามารถหายใจเข้าออกได้เบาในระดับหนึ่งแล้ว ทีนี้ให้สังเกตช่วงที่หายเข้าออกนั้น บริเวณมือเราทั้งสองข้างมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง (แนะนำให้ปิดพัดลมและหน้าต่างให้หมดก่อนจะได้สังเกตได้ง่ายขึ้น) อาการที่เกิดขึ้นคือสังเกตุว่า...

1. ขณะหายใจเข้าจะรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างดูดเข้ามาอยู่ในมือ
2. ขณะหายใจออกจะรู้สึกว่ามีกระแสบางอย่างถูกปล่อยออกไปทางฝ่ามือ
หรือจะรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างกำลังยืดออกและหดเข้าจากปลายนิ้วและฝ่ามือ

พูดง่ายๆ ก็คือจะรู้ได้ทางกายเนื้อเลยว่า มือเรากำลังหายใจเข้าออกอยู่พร้อมกับการหายใจเข้าออกทางจมูก แต่การหายใจเข้าออกทางฝ่ามือนี้ เป็นการดูดพลังงานรอบตัวเข้ามาและปลดปล่อยออกไป ในทษฤฏีเดียวกัน พลังของเหล็กไหลก็เช่นดียวกัน หากเรานำมาวางไว้บนฝ่ามือแล้วลองสังเกตดู จะรู้สึกได้ถึงพลังงานไฟฟ้าที่วิ่งเข้ามาตามเส้นเลือดต่างๆในช่วงที่หายใจ เข้า และคายพลังงานที่ไม่ใช้ออกไป แล้วก็ดูดเข้ามาอีกเรื่อยๆแบบนี้ เพื่อดูดพลังงานมาสะสมไว้ และใช้เมื่อยามที่ต้องการ โดยจุดที่จะเอาไว้สะสมพลังงานนั้นก็มีอยู่หลายจุด แต่ตัวข้าพเจ้าเองจะรวบรวมเก็บไว้ที่ฝ่ามือมากกว่าเพราะสะดวกต่อการใช้งาน โดยพลังงานนี้สามารถใช้ในการเล่นฤทธิ์ช่วยคนและการรักษาคนก็ได้

(ถ้าสังเกตเทวดาที่มีฤทธิ์มากๆ ฝ่ามือจะมีสีแดงจัดที่บ่งบอกได้ถึงมีพลังงานจำนวนมากรวมตัวกันบริเวณฝ่ามือ)

การฝึกแบบนี้ ถ้าถามว่ามีประโยชน์ตรงไหน ก็ตอบแบบเข้าใจง่ายๆคือ สามารถดูดพลังงานใช้ได้เร็วกว่าเดิมเมื่อพลังงานของเราใกล้หมด เรียกว่ามีประโยชน์อย่างมาก เพราะการจะสะสมพลังงานด้วยตัวเองนั้นต้องอาศัยเวลาพอสมควร ไม่เหมือนกับการดูดพลังงานจากเหล็กไหลมาใช้ เพราะประหยัดเวลาและรวดเร็วกว่ามาก


เรียบเรียงโดย นักรบนิรนาม ที่ 18:46 http://tantipala.blogspot.com/2010/08/blog-post_21.html