วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

02: เจ้าขรัวแสง แสงแห่งบูรพาจารย์

 
ใน ยุคกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยกว่าปีล่วงมาแล้วจะหาพระภิกษุรูปใดที่จะเป็นที่ รู้จักของมหาชนยิ่งไปกว่า สมเด็จพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม พระมหาเถราจารย์ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นไม่มี แต่จะหาผู้ที่รู้จักพระมหาเถรเจ้าอันเป็นที่เคารพนับถือ และเป็นบูรพาจารย์ องค์สำคัญองค์หนึ่งของสมเด็จพุฒาจารย์โต อันมีนามว่าหลวงปู่แสง แห่งวัดมณีชลขัณฑ์ เมืองลพบุรี น้อยเต็มที และมีอีกเป็นจำนวนไม่น้อยที่แทบจะไม่เคยได้ยินชื่อของหลวงปู่แสงเลย ทั้งที่หลวงปู่แสง ขรัวตาแสง หรือพระครูมหิทธิเมธาจารย์ นี้ เป็นคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นอันมากในยุคที่ท่านทรงสังขารอยู่พระเกจิอาจารย์หลายรูปที่มีชื่อเสียงมาจนถึงปัจจุบันนี้ ที่ได้เคยมานมัสการขอมอบตัวเป็นศิษย์ศึกษาเล่าเรียนวิชาการต่างๆจากหลวงปู่แสงมีเป็นจำนวนมากเป็นที่เลื่องลือขจรไปในหมู่ผู้แสวงหาความรู้วิชาการทั้งสมถะ และวิปัสสนา คาถาอาคม ฯลฯ เป็นที่รู้จักไปจนถึงในรั้วในวัง เป็นที่น่าเสียดายเหลือเกินที่ประวัติขององค์หลวงปู่แสงหาได้ยากยิ่ง ทั้งที่มา และที่ไปของหลวงปู่ล้วนเป็นปริศนาจวบจนปัจจุบัน หนังสือเล่มนี้จึงได้รวบรวมประวัติของหลวงปู่แสงเท่าที่มีบันทึกอยู่ นำมาเรียบเรียงให้เป็นเรื่องราวเดียวกัน เพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่อนุชนคนรุ่นหลังสืบไป
พ.กลาง
 
เจ้าขรัวแสง
องค์อาจารย์ของขรัวโต
คำว่า "เจ้าขรัวแสง" ที่ผู้เขียนใช้เอ่ยนามของหลวงปู่แสง แห่งวัดมณีชลขัณฑ์นี้
ได้มาจากข้อความตามภาพประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จโต ในพระอุโบสถวัดอินทรวิหาร กรุงเทพฯ ที่ท่านได้ให้ช่างเขียนประวัติของท่านไว้ในรูปแบบจิตรกรรมฝาผนัง ซึ่งต่อมาได้รับการถ่ายทอดออกมาเป็นหนังสือแต่ในปัจจุบันภาพและข้อความเหล่านั้นมิได้คงอยู่ดังเดิมอีกแล้ว จากการบูรณปฏิสังขรณ์พระอุโบสถ เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านได้ให้นายช่างเขียนตัวอักษรไว้ใต้ภาพเจ้าคุณอาจารย์หลายๆ องค์ของท่านซึ่งคำว่า เจ้าคุณขรัว และ เจ้าขรัว นั้น เป็นคำซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเคารพยกย่องอย่างสูง และก็แฝงไว้ด้วยเอกลักษณ์ประจำองค์ของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ด้วย เพราะในยุคนั้น ในหลวงรัชกาลที่ ๔ และชาวพระนครต่างก็รู้จักเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในนามขรัวโต นอกจากนี้ ยังปรากฏหลักฐานในจดหมายเหตุของรัชกาลที่ ๕ ซึ่งเอ่ยนามของหลวงปู่แสงว่า ขรัวแสง เช่นเดียวกันดังจะได้แสดงเรื่องราวของหลวงปู่แสง แห่งวัดมณีชลขัณฑ์ ไว้เป็นลำดับในหนังสือเล่มนี้ ...พระเจดีย์ที่สูงโดดเด่นอันปรากฏอยู่ในเขตวัดมณีชลขัณฑ์นั้น ชาวเมืองลพบุรีและจังหวัดใกล้เคียงเรียกกันว่า เจดีย์หลวงพ่อแสง แม้แต่พระพุทธรูปซึ่งประดิษฐานอยู่ในซุ้มของพระเจดีย์ก็เรียกกันว่าหลวงพ่อแสง ด้วยเป็นที่ทราบกันว่าพระเจดีย์ และพระพุทธรูปในซุ้ม สร้างโดยหลวงพ่อแสง อดีตเจ้าอาวาสของวัดมณีชลขัณฑ์ประวัติของพระเจดีย์ น่าอัศจรรย์พอกับประวัติของหลวงปู่แสง

ชาวลพบุรีเรียกท่านว่า หลวงพ่อแสง ส่วนในเอกสารเก่าๆ ที่จะกล่าวต่อไป เรียกท่านว่า ขรัวแสง บ้าง พระอาจารย์แสง บ้างและผู้เขียนซึ่งเป็นผู้เยาว์อยู่ในยุคปัจจุบันจึงขอเรียกท่านว่าหลวงปู่แสง เป็นที่เลื่องลือกันว่าหลวงปู่แสงได้สร้างพระเจดีย์องค์นี้แต่ลำพังผู้เดียว เมื่อการก่อสร้างสำเร็จลุล่วงลงแล้วท่าน ก็หลีกเร้นปลีกวิเวกหายไปจากเมืองลพบุรีอย่างค่อนข้างลึกลับ ไม่ปรากฏว่าท่านไปจำพรรษาต่อที่ใด หรือมรณภาพลงที่ไหน อย่างไร เมื่อไหร่กาลต่อมา เมื่อมีผู้ระลึกถึงคุณของหลวงปู่แสง ก็ได้จัดสร้างวัตถุมงคลอันเกี่ยวเนื่องกับองค์ท่านไว้เป็นที่พึ่งที่ระลึก โดยมีทั้งสร้างเป็นรูปพระเจดีย์ และพระพุทธรูป ที่อยู่คู่องค์พระเจดีย์ ณ วัดมณีชลขัณฑ์ แล้วก็มีการจัดสร้างเหรียญ และพระผงรูปเหมือนของท่านด้วย พร้อมๆ กับความพยายามค้นคว้าและเริ่มต้นบันทึกประวัติของท่านไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
---------------------------------------------------------------------------------
หลักฐานทางเอกสารชิ้นสำคัญที่มักได้รับการกล่าวถึง คือ จดหมายเหตุ ในรัชกาลที่ ๕ ซึ่งทรงกล่าวถึงขรัวแสงไว้โดยตรงปรากฏในพระราชนิพนธ์เรื่อง ระยะทางเสด็จประพาสมณฑลอยุธยาเมื่อ พ.ศ.๒๔๒๑ ตอนที่ได้เสด็จพระราชดำเนินมาที่วัดมณีชลขัณฑ์ทรงนิพนธ์ไว้ตอนหนึ่งว่า “ในพระวิหารมีพระกะไหล่ทองตั้งบนบุษบกองค์หนึ่ง เป็นพระของท่านยมราชสร้าง
ดูภูมิวัดแลการที่ทำงามพอสมควรเป็นอย่างดีอยู่แล้ว กับพระเจดีย์สูงอีกองค์หนึ่งอยู่ข้างเกาะ สร้างมาช้านานหนักหนาแล้ว ตามเสด็จขึ้นมาแต่ก่อนทีไรก็เห็นก่อค้างอยู่อย่างนั้น ครั้นมาเมื่อปีวอกดูเหมือนแล้วไป พระเจดีย์องค์นี้เขาว่าเป็นของขรัวแสง คนทั้งปวงนับถือว่าเป็นผู้มีวิชา เดินตั้งแต่เมืองลพบุรีเช้าลงไปฉันเพลที่กรุงเทพฯ ได้ เป็นคนกว้างขวางเจ้านายรู้จักมาก หน้าเข้าพรรษาไปจำพรรษาอยู่วัดอื่น ถ้าถึงออกพรรษาแล้วมาปลูกโรงอยู่ริมพระเจดีย์องค์นี้ ก่อเองคนเดียวไม่ยอมให้คนอื่นช่วย ราษฎรที่นับถือพากันช่วยเรี่ยไรส่งอิฐปูนแลพระเจดีย์องค์นี้เจ้าของจะทำแล้วเสร็จตลอดไป หรือจะทิ้งให้ผู้อื่นช่วยเมื่อตายไปแล้วไม่ได้ถามดู ของเธอก็สูงดีอยู่”

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็เคยได้ทรงนิพนธ์เกี่ยวกับเรื่องราวของพระเจดีย์วัดมณีชลขัณฑ์ และองค์ผู้สร้าง ซึ่งท่านเรียกว่าพระอาจารย์แสง ความว่า "ที่ท้องทุ่งพรหมาศอยู่ใกล้เมือง มีพระเจดีย์สูงที่วัดมณีชลขัณฑ์ เดิมชื่อวัดเกาะแก้วองค์ ๑ แลเห็นได้แต่ไกล ชวนให้สำคัญว่าเป็นของสร้างไว้แต่โบราณ แต่แท้จริงเป็นของพระภิกษุองค์ ๑ ชื่อพระอาจารย์แสง เป็นผู้คิดแบบสร้างขึ้นเมื่อรัชกาลที่ ๔"

นอกจากนี้ นามของหลวงปู่แสง ยังปรากฏอยู่ในหนังสือประวัติวัดว่า
"พระเจดีย์หลวงพ่อแสง อดีตเจ้าอาวาสองค์แรกสร้างไว้เป็นอนุสรณ์ในชีวิตท่าน โดยสร้างด้วยบุญบารมีของท่านเองไม่ได้ใช้เงินงบประมาณของวัดเลย"
ข้อ ความที่กล่าวว่าหลวงพ่อแสง เป็นเจ้าอาวาสองค์แรกของวัดมณีชลขัณฑ์นั้น หมายถึงท่านเป็นเจ้าอาวาสรูปแรก หลังจากเปลี่ยนเป็นคณะธรรมยุตถ้าดูตามบันทึกประวัติวัดมณีชลขัณฑ์จะปรากฏนามเจ้าอาวาสปกครองวัดมาก่อนหน้านั้น ๓ รูป
จนมาถึง ปี พ.ศ.๒๔๐๙ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตั้งวัดเกาะแก้วให้เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี คณะธรรมยุตแล้วทรงโปรดให้พระครูมหิทธิเมธาจารย์ (พระครูแสง) จากวัดโสมนัสราชวรวิหาร มาเป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะแก้ว จากนั้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงพระราชทานนามวัดใหม่เป็นวัดมณีชลขันธ์ (เขียนแบบเก่า)
ในทำเนียบประวัติเจ้าอาวาสวัดมณีชลขัณฑ์ ระบุว่า พระครูมหิทธิเมธาจารย์ มาจากวัดโสมนัสราชวรวิหารมาเป็นเจ้าอาวาสวัดมณีชลขัณฑ์ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๐๙ - พ.ศ.๒๔๑๘ รวมเวลา ๙ ปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาต่อเนื่องกับที่ท่านดำเนินการสร้างพระเจดีย์ ณ วัดมณีชลขัณฑ์ นั่นเอง 
---------------------------------------------------------------------------------
...หลวงพ่อจรัล วัดอัมพวัน (พระเทพสิงหบุราจารย์) ซึ่งถือเป็นองค์ประธานการสร้างรูปหล่อหลวงปู่แสง ปี ๒๕๒๙ เคยกล่าวให้ศิษย์ฟังว่า
…อาตมานึกถึงที่อาตมาได้บันทึกไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๐๐ พระพุทธเจ้าหลวงได้ตรัสกับอาตมาว่า
"พระคุณเจ้า โยมจะบอกให้ พ.ศ.๒๕๓๐ เจ้าคุณอาจารย์ของเราจะมาอยู่ในโรงอุโบสถของท่าน"
อาตมาถามว่า "เจ้าคุณอาจารย์ไหนล่ะ" ท่านตอบว่า "เจ้าคุณอาจารย์ของเราคือสมเด็จโต พรหมรังสี พระคุณเจ้าไม่น่าจะไม่รู้จัก"
อาตมาก็บอกว่า "โยม จะมาอยู่ได้ยังไง โบสถ์ก็จะพังแล้ว วัดก็โทรมแล้ว"
ท่านตอบว่า "พระคุณเจ้า คนมีบุญเขาจะเอามา" อาตมาก็จดไว้ พ.ศ.๒๕๐๐ กับ พ.ศ.๒๕๓๐ ห่างกันตั้ง ๓๐ ปี
ท่านยังบอกต่อไปว่า "ผู้มีบุญวาสนานั้นจะนำพระอาจารย์ของเจ้าคุณอาจารย์เรามาอยู่ที่วัดนี้ด้วย"
อาตมาก็ไม่ทราบว่าเป็นใคร มาทราบตอนหลังว่าเป็นหลวงปู่แสงนี่เอง ท่านได้บอกไว้หมดว่า
‘อาจารย์ของเจ้าคุณสมเด็จอ่อนกว่า แต่เจ้าประคุณสมเด็จต้องมายอมเป็นศิษย์ของหลวงปู่แสง เพราะท่านได้สำเร็จญาณสมาบัติ’ 
---------------------------------------------------------------------------------
จากที่มีการบันทึกภาพประวัติของเจ้าประคุณสมเด็จฯ ไว้ในคราวนี้นี่เอง ทำให้นักค้นคว้าในยุคหลังได้วินิจฉัยเพิ่มเติมเขียนเป็นประวัติเจ้าประคุณสมเด็จฯ ในมุมมองของแต่ละท่าน โดยท่านหนึ่งคือคุณฉันทิชัยได้วิเคราะห์ภาพตอนหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับหลวงปู่แสงไว้ว่า
"อีกตอนหนึ่งเป็นภาพบ้านปลัดนุด ตัวปลัดนุดนั่งอยู่บนเรือนกับคนอีกหลายคน ตอนข้างล่างมีภาพบ้านอยู่ริมตลิ่งมีพระภิกษุนั่งอยู่บนเรือนกับคนอีกหลายคน ตอนข้างล่างมีภาพบ้านอยู่ริมตลิ่ง มีพระภิกษุนั่งอยู่หลายองค์ มีผู้หญิงนั่งอยู่ ๒ คนทางข้างซ้าย และนั่งอยู่หน้าพระอีกคนหนึ่ง มีเรือจอดอยู่หน้าบ้าน มีหนังสือเขียนอยู่ข้างล่างว่า เจ้าคุณขรัว ๑ เจ้าคุณชินวร
ภาพ นี้เข้าใจว่าเป็นภูมิภาคของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาพตอนแรกแสดงความโอ่โถงของพระเกษม เช่นขุนนางในสมัยนั้นดังปรากฏมาแล้วแต่ตอนต้น ภาพตอนต่อมาแสดงว่า เจ้าพระยานิกรบดินทร์ เป็นคนจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภาพคนขนของคงมีความหมายถึงการเตรียมทำบุญ ตอนต่อมาแสดงว่ามีการทำบุญที่บ้านปลัดนุด โดยนิมนต์ เจ้าขรัว ๑ และเจ้าขรัวชินวรทำพิธี และฉันที่บ้าน
สำหรับเจ้าขรัว ๑ เข้าใจว่าเป็นเจ้าคุณญาณสังวรเถร (สังฆราชไก่เถื่อน สุก) อย่าลืมว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เป็นชาวอยุธยา
และสังฆราชไก่เถื่อน ก็เป็นคนชาวอยุธยา ส่วนเจ้าขรัวชินวรนั้น ขอเดาว่าอาจเป็นขรัวแสง พระอาจารย์ด้านมายาศาสตร์
องค์สำคัญอีกองค์หนึ่งของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คู่กับสังฆราชไก่เถื่อน เพราะท่านชอบมาทำบุญบำเพ็ญกรณีย์ที่จังหวัดอยุธยาเป็นนิจ

ท่านขรัวทั้ง ๒ นี้ มีอายุอยู่ในสมัยเดียวกัน และต่างเป็นพระอาจารย์ทางวิปัสสนาและมายาศาสตร์อย่างสำคัญของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ด้วยกัน และเป็นที่เชื่อกันว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มาศึกษาวิชาลี้ลับทางกฤตยาคมแห่งมายาศาสตร์ ที่จังหวัดอยุธยา และต่อมาได้ศึกษากับสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) อาจารย์เดิมที่วัดพลับอีก” 
---------------------------------------------------------------------------------
ในประวัติเจ้าประคุณสมเด็จโต สำนวนของตรียัมปวาย กล่าวเกี่ยวกับหลวงปู่แสงไว้ว่า
"โดยเฉพาะในรัชกาลที่ ๒ การศึกษาวิปัสสนาธุระ เจริญรุ่งเรือง ด้วยว่าพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงทำนุบำรุงวิทยาประเภทนี้ โดยโปรดให้อาราธนาพระภิกษุที่ทรงคุณวุฒิ ในทางวิปัสสนาธุระ ทั้งในกรุงและหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายเหนือ มารับพระราชทานบาตร ไตรจีวร กลด และบริขารอันควรแก่สมณะฝ่ายอรัญวาสี แล้วทรงแต่งตั้งเป็นพระอาจารย์บอกพระกัมมัฏฐานแก่พระสงฆ์สามเณรและคฤหัสถ์

(ความพิสดารปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุรัชกาลที่ ๒ ปีมะเส็งตรีศก พ.ศ.๒๓๖๔ เลขที่ ๗)
การศึกษาวิปัสสนาธุระและมายาศาสตร์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้น สันนิษฐานว่าท่านจะได้เล่าเรียนในหลายสำนัก ด้วยในสมัยนั้น (โดยเฉพาะในรัชกาลที่ ๒) การศึกษาวิปัสสนาธุระเจริญแพร่หลายนัก มีครูอาจารย์ผู้ทรงเกียรติคุณอยู่มากดังกล่าวแล้ว แต่ที่ทราบเป็นแน่นอนนั้นว่า ในชั้นเดิมท่านได้เล่าเรียนในสำนักเจ้าคุณอรัญญิก (แก้ว) วัดอินทรวิหาร และในสำนักเจ้าคุณบวรวิริยะเถระ (อยู่) วัดสังเวชวิศยาราม และดูเหมือนจะได้เล่าเรียนจนมีความรู้เชี่ยวชาญแต่เมื่อยังเป็นสามเณรด้วยปรากฏว่าเมื่อเป็นสามเณรนั้น ครั้งหนึ่งท่านได้เอาปูนเต้าเล็กๆ ไปถวายเจ้าคุณบวรฯ ๑ เต้า กับถวายพระในวัดนั้นองค์ละ ๑ เต้า เวลา นั้นไม่มีใครสนใจ มีพระองค์หนึ่งเก็บปูนนั้นไว้ แล้วปั้นเป็นลูกกลมๆ สัก ๓-๔ ลูก ภายหลังกลายเป็นลูกอมศักดิ์สิทธิ์เลื่องลือกันขึ้นดังนี้ ต่อมาในภายหลัง ได้เข้าศึกษามายาศาสตร์ต่อที่สำนักพระอาจารย์แสง จังหวัดลพบุรี อีกองค์หนึ่ง”

ข้อมูลจากหนังสือ สมุดสมเด็จ พ.ศ.๒๕๕๑ อนุสรณ์ ๒๐๐ ปี แห่งชาตกาลสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี วัดระฆังโฆสิตารามโดย พระครูกัลยาณานุกูล (พระมหาเฮง อิฏฺธาจาโร) หน้า ๑๘๒ บันทึกไว้ว่า เจ้าประคุณสมเด็จฯ ท่านเรียนวิชาย่นระยะทางมาจากหลวงปู่แสง

“คราว หนึ่งมีผู้นิมนต์เจ้าประคุณสมเด็จฯ ไปในงานพิธีมงคลโกนจุก ที่จังหวัดอ่างทอง ท่านได้เริ่มออกเดินทางก่อนกำหนดเวลาเพียง ๓ ชั่วโมง มีคนสงสัยกันว่าท่านจะไปทันเวลากำหนดได้อย่างไร ถึงกับได้สอบถามไปยังเจ้าภาพในภายหลังต่อมา ก็ได้รับคำตอบว่าท่านไปทันเวลาตามที่กำหนดในฎีกาไม่คลาดเคลื่อน ว่าวิชานี้ท่านได้ศึกษามาจากพระอาจารย์แสง ที่จังหวัดลพบุรี”

พระพิมพ์สมเด็จ เนื้อผงใบลานผสมเหล็กไหล (มีเส้นเกสา...)
สร้างปี ปี 2411 วาระ ร.5 เสด็จขึ้นครองราช
อธิษฐานจิตโดย เจ้าขรัวแสงและสมเด็จโต